FAQ: Auto Start-Stop ระบบกวนใจผู้ใช้ ดีจริงมั้ย หรือควรปิดไปเลย
หลายๆคนที่ซื้อรถใหม่ในช่วงนี้ เวลาหยุดรถอาจเคยเจอปัญหารถรอบตก คล้ายเครื่องดับ เวลาหยุดรถแล้วจะกลับมาแซง แต่เร่งไม่ไป จนทำให้ตกใจว่ารถตัวเองนั้นเสียหรือไม่ แต่แท้จริงแล้ว มันคือระบบ Auto Start-Stop เป็นระบบที่ช่วยตัดเครื่องยนต์ในขณะที่รถหยุดนิ่ง โดยมักจะมีใน Eco Car ใหม่ๆ เนื่องจากช่วยประหยัดน้ำมัน และลดมลภาวะได้อีกด้วย เรามาทำความรู้จักระบบ Start-Stop กันให้มากกว่านี้ดีกว่า
ระบบ Start-Stop คืออะไร?
ระบบ Start-Stop (เดิน/หยุดรถ) เป็นระบบใหม่ในรถส่วนใหญ่ของยุคนี้ ซึ่งตัดการทำงานของเครื่องยนต์เมื่อรถหยุดนิ่ง เพื่อลดการใช้น้ำมันและการปล่อยมลพิษ โดยเครื่องยนต์จะทำงานอีกครั้งเมื่อเหยียบคลัทช์, ปล่อยเบรก หรือเมื่อคนขับขยับรถอีกรอบ
ระบบ Start-Stop ทำงานอย่างไร?
ระบบจะใช้คอมพิวเตอร์เพื่อตรวจจับว่ารถกำลังหยุดนิ่งหรือออกจากเกียร์ ซึ่งในจุดนั้นจะหยุดการส่งน้ำมันและไฟที่เครื่องยนต์ การจุดเครื่องจะเริ่มใหม่เมื่อรถเริ่มขยับหรือมีการเหยียบคลัทช์หรือปล่อยเบรก ซึ่งเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ แต่คนขับเลือกได้ว่าจะเปิดหรือปิดไว้
เทคโนโลยี Start-Stop บางรุ่นใช้ระบบ TS ย่อมาจาก Tandem Solenoid (ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าสองตอน) และถูกดีไซน์ให้จัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้นเมื่อเครื่องยนต์กำลังจะหยุดทำงานแล้วคนขับเหยียบคันเร่งอีกครั้ง เช่น เมื่อคนขับตัดสินใจหยุดรถ แต่เปลี่ยนใจ เนื่องจากรถข้างๆขยับอย่างไม่คาดคิด ในเหตุการณ์นั้นเครื่องยนต์อาจถูกสั่งให้หยุดแต่ยังคงหมุนเวียน เพื่อหลีกเลี่ยงการกระชาก
คำถามที่พบบ่อย
ทำไมถึงมีการทำระบบ Start-Stop ขึ้นมา?
เพื่อให้ตรงกับมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากระบบ Start-Stop เป็นการดับเครื่องยนต์ชั่วคราว ซึ่งง่ายกว่าการหาวิธีทำให้เครื่องปล่อยของเสียน้อยลง
ระบบ Start-Stop ทำให้เครื่องยนต์สึกหรือไม่?
ใช่ ในเรื่องของระยะการใช้งานที่ยาวนานนั้น การเดิน/หยุดที่มากขึ้นทำให้เครื่องยนต์สึกได้ ชิ้นส่วนพื้นฐานของเครื่องยนต์คือ crankshaft (เพลาข้อเหวี่ยง) ตัวเพลาจะถูกหนุนหลังขณะที่มันหมุนด้วยจำนวนรอบหมุนบนดินพร้อมกับระยะการใช้งานใน Bearing (ตลับลูกปืน) ซึ่งเป็นตลับลูกปืนหลักและผลกระทบจะมีมากขึ้นต่อตลับลูกปืนหลังเครื่องยนต์ที่อยู่ติดกับมอเตอร์สตาร์ทรถ
เมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงาน เพลาข้อเหวี่ยงกับพื้นผิวตลับลูกปืนหลักไม่สัมผัสกัน แต่ถูกแยกด้วยฟิล์มน้ำมันที่บางมากๆ คอยผลิตใต้แรงดันและปั๊มรอบๆ พื้นผิวตลับลูกปืนด้วยการทำงานของเพลาที่หมุน กระบวนการนี้เรียกว่า Hydrodynamic Lubrication (การหล่อลื่นด้วยการแปรผันของเหลว) แต่เมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงาน ตัวเพลาจะหันเข้าหาตลับลูกปืน พื้นผิวเหล็กของทั้งสองจึงสัมผัสกัน
เมื่อเครื่องยนต์เริ่มทำงาน พื้นผิวทั้งสองถูกฟิล์มน้ำมันกั้นไว้ที่เรียกว่า Boundary condition ในที่ๆ เพลาข้อเหวี่ยงกำลังหมุน แต่มีการปะทะระหว่างพื้นผิวเหล็กสองชนิด การสึกหรอกมักเกิดขึ้นตรงนี้ และตลับลูกปืนอาจสึกหรอก่อนเวลาอันควร
ระบบ Start-Stop ช่วยประหยัดน้ำมันหรือไม่?
ใช่ ในขณะที่รถหยุดนิ่งโดยเครื่องยนต์ไม่ทำงาน โดยมีการเคลมว่าสามารถประหยัดน้ำมันได้ 7-10% เช่น ในการจราจรติดขัดหรือรอสัญญาณไฟจราจร น้ำมันจะถูกใช้น้อยลงขณะที่รถหยุดนิ่ง ซึ่งจำนวนน้ำมันที่ประหยัดได้มักเป็นที่ถกเถียงและขึ้นอยู่กับวิธีการขับรถของผู้ขับขี่เอง ระบบ Start-Stop ยังถูกออกแบบให้ลดมลพิษในตัวเมืองด้วย
ระบบนี้ดีต่อแบตเตอรี่หรือไม่
ไม่ รถที่ใช้ระบบ Start- Stop จะทำให้แบตเตอร์รี่รถยนต์ทำงานมากขึ้น จึงมีแบตเตอร์รี่พิเศษเพื่อรองรับการทำงานของระบบนี้ได้ คือ EFB (Enhanced Flooded Batter) และ AGM (Absorbed Glass Mat) ที่สามารถรองรับได้มากกว่าแบตธรรมดา แต่ก็จะมีราคาแพงกว่า และรถที่มีระบบนี้ มักจะมีแบตเตอร์รี่เสริม เพื่อช่วยในการ ติดและดับเครื่องยนต์
ระบบ Start-Stop ทำให้สตาร์ทเตอร์เสื่อมหรือไม่
ใช่ รถที่มีระบบ Start-Stop จะมีสตาร์ทเตอร์พิเศษเพื่อรองรับการทำงานนี้ ซึ่งอาจมีราคาแพงกว่า 2-3 เท่าของสตาร์ทเตอร์ธรรมดา รวมถึงไดชาร์จ
ข้อสรุป ถ้าไม่ดีแบบนี้ ปิดไปเลยดีมั้ย?
แน่นอนว่าผู้ขับขี่แต่ละคน มีวิธิใช้รถที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการเปิดปิด Start-Stop ฉะนั้นการเปิดหรือปิดจึงจะแตกต่างกันไป
1. คุณควรจะปิดมันถ้าคุณไม่อยากมานั่งรำคาญกับเครื่องยนต์ที่ติดๆดับๆในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการปิดระบบ Start-Stop จะช่วยทำให้รักษาสภาพเครื่องยนต์ได้ด้วย
2. คุณควรจะเปิดไว้หากในชีวิตประจำวันของคุณมักจะติดอยู่บนถนนบ่อยครั้ง เนื่องจากมันจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยประหยัดน้ำมันได้เล็กน้อย