ไม่แน่ใจว่าสีพิเศษนี้จะมาใน BMW 530e M Sport หรือเปล่า
BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) พร้อมเปิดตัวรถยนต์ซีดานขนาดกลางที่ขายดีที่สุดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอย่าง BMW 5-Series (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์-5) รุ่นใหม่ ในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลและปลั๊กอินไฮบริด ด้วยราคาจำหน่ายเบื้องต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท ท้าชน Mercedes-Benz E-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส) และ Volvo S90 (วอลโว่ เอส90)
อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่ารถยนต์รุ่นใหม่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันพุธที่ 20 มกราคมนี้ ด้วยทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลและปลั๊กอินไฮบริด 3 รุ่นย่อย เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์นั่งสำหรับธุรกิจ ที่บีเอ็มดับเบิลยูครองตำแหน่งผู้นำในตลาดโลกและตลาดประเทศไทย
"ด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 2.6 ล้านคันในรอบทศวรรษที่ผ่านมาในตลาดโลก รวมถึงการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งหรูหราระดับกลางในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์-5 รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวรุ่นผลิตในประเทศไทย จะพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี"
คงเครื่องยนต์ดีเซล เพิ่มไลน์อัพปลั๊กอินไฮบริด
บารากายืนยันว่าเครื่องยนต์ที่จะทำตลาดในประเทศไทยสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ จะประกอบไปด้วยทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล ในรุ่น BMW 520d M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู 520ดี เอ็ม สปอร์ต) ที่รองรับการใช้งานเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล บี10 ได้ ยังเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคชาวไทยให้การต้อนรับอยู่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ก็จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดให้เลือก 2 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วยรุ่นเริ่มต้นอย่าง BMW 530e Elite (บีเอ็มดับเบิลยู 530อี อีลิท) ที่วางราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท และรุ่นท็อปอย่าง BMW 530e M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู 530อี เอ็ม สปอร์ต) ที่จะมีอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา
"ในรุ่นนี้จะไม่มีการทำตลาดรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน จากที่ผ่านมาที่เรามีการนำเข้ามา แต่ทางบริษัทต้องการลดความยุ่งยากของตัวสินค้าลง และก็จะยังไม่มีการทำตลาดเครื่องยนต์สมรรถนะสูงอย่าง BMW M540i เช่นกัน ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ก็ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการทำงานของบริษัท แต่จะยังไม่เห็นในรถยนต์รุ่นนี้"
แถบสีฟ้าแสดงว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแน่นอน
ไฟท้ายออกแบบมาอย่างบึกบึนดูหนักแน่น
มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างนะ
การออกแบบภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะพอสมควร ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือกรอบโคมไฟหน้าที่การติดตั้งแถบสีฟ้าเข้าไปในรุ่นปลั๊กอินไฮบริด และมีการออกแบบไฟหน้าและไฟท้ายที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน เน้นไปที่ความโฉบเฉี่ยวของรถโดยภาพรวม เรียกว่าให้บรรยากาศของความเป็นสปอร์ตซีดานมากขึ้น
ห้องโดยสารภายในยังเน้นความกว้างขวางสะดวกสบายเหมือเดิม และการตกแต่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากรุ่นที่ผ่านมามากนัก แต่เน้นไปที่การเพิ่มระบบและอุปกรณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งระบบ BMW Digital Key เป็นครั้งแรกของรุ่นนี้ ต่อจาก BMW 4-Series (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์-4) และ BMW 2-Series (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์-2) รุ่นประกอบในประเทศ
ระบบกุญแจแบบดิจิตอล จะอนุญาตให้เจ้าของรถสามารถเปิด-ปิดรถและสตาร์ทได้โดยไม่ต้องพกพากุญแจ แต่จะต้องเป็นผู้ใช้โทรศัพท์มือถือไอโฟนตั้งแต่โฉมรุ่น 10 ขึ้นไป ทำการสั่งการผ่านโทรศัพท์ และยังสามารถแชร์กุญแจดิจิตอลนี้ ให้กับผู้อื่นอีกได้มากถึง 5 คน ถือเป็นของเล่นใหม่ที่ติดตั้งมาในรถ
เครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดคือหัวใจหลักในการทำตลาด
เครื่องยนต์ดีเซลและลูกครึ่งไฟฟ้าที่ไว้ใจได้
บีเอ็มดับเบิลยูยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์ที่ขายดีที่สุดอย่างเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,995 ซีซี. พร้อมเทคโนโลยี TwinPower Turbo ที่ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงสู่ล้อหลัง ในรุ่น 520ดี
รุ่น 530อี อีลิท มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี Twin Power Turbo ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 12 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้กำลังรวมทั้งระบบสูงสุด 252 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Steptronic ส่งกำลังลงสู่ล้อคู่หลัง
และที่้ต้องลุ้นกันก็คือในรุ่น 530อี เอ็ม สปอร์ต อาจจะมาพร้อมกับระบบ XtraBoost ที่มีการใช้พลังงานของมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเร่งในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็ทำให้พละกำลังสูงสุดของรถเพิ่มขึ้มมาอีก 40 แรงม้า ส่วนอื่น ๆ นั้น ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นอีลิทสักเท่าไรในรายละเอียดของเครื่องยนต์ที่นำมาติดตั้ง
ภายในห้องโดยสารอันคุ้นตา หรูหราแต่ของเล่นเพียบ
ความมั่นใจในตัวสินค้ารุ่นใหม่ของ BMW
นายใหญ่ค่ายใบพัดฟ้าขาวได้แสดงความมั่นใจให้เห็นระหว่างการให้สัมภาษณ์ก่อนการเปิดตัว เพราะนอกจากซีรี่ส์-5 นั้นจะเป็นแฟลกชิปโมเดล ที่ทำยอดขายมาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย พวกเขามั่นใจว่าออพชั่นและระบบต่าง ๆ ที่ให้มา จะทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์หรูคันนี้ได้ไม่ยาก
นอกเหนือไปจากการตัดสินใจทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้ด้วยรุ่นประกอบในประเทศ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องราคาที่จะลดลงไปจากรุ่นนำเข้าเหมือนที่ผ่านมา หากดูที่ตัวก็จะพบว่ามีความดีงามรอบด้าน ทั้งเรื่องของระบบเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ความสะดวกสบาย และออพชั่นที่ไม่เป็นรองคู่แข่งในทุกมิติ
"เราเชื่อว่าเรามีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก อย่างเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นนี้ ก็ถือว่าปล่อยไอเสียต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ในประเทศไทย เราติดตั้งช่วงล่างแบบปรับแต่ได้ โคมไฟหน้าแบบปรับตามการใช้งาน และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งน่าจะทำให้เรารักษาตลาดและความเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ได้ต่อไป"
ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท แล้วรุ่นท็อปล่ะ?