Audi Thailand (อาวดี้ ประเทศไทย) ประกาศตัวเลขผลการดำเนินงานที่เยี่ยมยอดในประเทศไทย ด้วยการรักษาอัตรการเติบโตเอาไว้ได้ที่ 11% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ และพวกเขาก็อยู่ระหว่างทางที่ดีในการเดินหน้าไปสู่การรักษาเป้าหมายการขาย 1,000 คันในปีนี้เอาไว้ให้ได้ หลังจากที่ทำยอดจำหน่ายในช่วงครึ่งปีแรกได้ใกล้เคียง 500 คัน

กฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาวดี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า การทำยอดจำหน่ายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแเกร่งของแบรนด์อาวดี้ในประเทศไทย ประกอบกับการทำตลาดด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ ที่มีความคุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสาเหตุที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเป็นเจ้าของรถอย่างง่ายดาย

ทั้งนี้ อาวดี้ ประเทศไทย ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อีกหลายรุ่น หลังจากที่ในปัจจุบันมีการทำตลาดอยู่มากกว่า 30 รุ่นย่อย หลังการทำตลาดในประเทศไทยเข้าสู่ปีที่ 4 โดยในครึ่งปีหลัง พวกเขามีแผนงานอีกมากมายที่จะต้องทำ รวมถึงการเร่งส่งมอบรถยนต์ที่เปิดตัวไปแล้วได้รับยอดจองอย่างล้นหลามหลายรุ่นในช่วงที่ผ่านมาเช่นกัน

เร่งเครื่องส่งมอบ Audi A5 - Audi TT

ในช่วงที่ผ่านมา อาวดี้ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถยนต์แฟลกชิปอย่างอาวดี้ เอ5 ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้น 2.699 ล้านบาทและ 3.599 ล้านบาทใน 2 ตัวถัง ซึ่งได้รับความนิยมจากตลาดอย่างมาก จนมียอดจองเข้ามามากกว่า 200 คัน แต่รถยนต์เหล่านี้ก็ยังไม่ได้เริ่มทำการส่งมอบให้กับลูกค้าอย่างจริงจังแต่อย่างใดในช่วงที่ผ่านมา

รวมไปถึง อาวดี้ ทีที รถยนต์สปอร์ตทั้งแบบคูเป้และเปิดประทุน ที่ทำราคาจำหน่ายอย่างน่าสนใจที่ 3.299-4.699 ล้านบาท ก็ได้รับความสนใจอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยรถทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มทำการส่งมอบอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไปให้กับลูกค้าที่จองเข้ามา รวมไปถึง 2020 Audi A4 Avant 45 TFSI ที่เพิ่งเปิดตัวไปล่าสุด

"ตัวเลขยอดจำหน่ายที่เติบโตมา 11% ในช่วง 7 เดือนแรกนั้น ยังไม่ได้รวมยอดจองของรถยนต์เหล่านี้บางส่วนที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ รวมไปถึงรถในตระกูล RS ไม่ว่าจะเป็น Audi TT RS, Audi RS4 Avant และ Audi RS Q8 ที่ได้รับความนิยมและมียอดจองเข้ามามากกว่าที่คาดการณ์ ก็จะเริ่มส่งมอบกันในช่วงครึ่งปีหลัง และทำให้ยอดขายเราเป็นไปตามเป้า"

หวั่นพิษโควิด-หนีเสียกระทบช่วงที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะเริ่มดูดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่กฤษณะกรก็ระบุว่ายังต้องติดตามสถานการณ์ทั้งหมดอย่างใกล้ชิด โดยแม้ว่าตลาดรถยนต์หรูหรายังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างชัดเจนในปีนี้ แต่ก็ยังต้องเฝ้าดูปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์หรือกระทบต่อกลุ่มลูกค้าที่อาจจะชะลอการใช้เงินได้

ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของ COVID-19 ที่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะจบลงเมื่อใด และปัญหาหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกาศพักชำระหนี้ของไฟแนนซ์ ซึ่งหากเกิดสถานการณ์เหล่านี้ขึ้นมา และกระทบกับกลุ่มลูกค้าโดยตรง โอกาสที่ตลาดจะได้รับผผลกระทบมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน

"ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากยังสามารถซื้อรถยนต์หรูหราได้อยู่ แต่หากในอนาคตเกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ทำให้ต้องมีการลดต้นทุนหรือลดพนักงานในองค์กร แน่นอนว่าลูกค้าที่เป็นเจ้าของกิจการคงเลือกที่จะไม่ซื้อรถยนต์ใหม่เช่นกัน อันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าจะเกิดและส่งผลกระทบกับธุรกิจหรือไม่"