2020 Nissan Ariya (นิสสัน อาริยะ) รถยนต์เอนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยว หัวใจในการขับเคลื่อนที่ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจะเริ่มผลิตและจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรกของโลกในช่วงกลางปี 2564 เป็นต้นไป
นิสสันนั้น ยังไม่ได้ระบุอย่างเป็นทางการว่าจะมีการทำตลาดอาริยะในประเทศใดบ้าง และฐานการผลิตแห่งใดจะได้รับการคัดเลือกเพื่อใช้ในการผลิตรถเอสยูวีคันใหม่ของพวกเขาในการทำตลาดทั่วโลก และล่าสุด มีเสียงเล่าลือกันว่า นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย อาจจะได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถรุ่นนี้
เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ไวเกินไปกว่าจะมีข้อสรุปว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่หากดูความพร้อมของโรงงานนิสสันในประเทศไทย และแผนงานที่พวกเขาพยายามเดินหน้าตลาดยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามาโดยตลอด ก็ถือว่าไม่สามารถส่ายหน้าปฏิเสธได้เสียทีเดียว คำถามก็คือพวกเขาจะกล้าพอที่จะเดินหน้าทำตลาดรถกลุ่มนี้หรือไม่เท่านั้น
โรงงานสำคัญเพียงแห่งเดียวในอาเซียนของนิสสัน
ถ้าถามว่าประเทศไทยมีความสำคัญต่อแผนงานของนิสสัน มอเตอร์ มากเพียงใด ก็ต้องย้อนกลับไปที่การประกาศแผนงานธุรกิจระยะ 4 ปี เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม นิสสันได้วางแผนเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน สร้างเสถียรภาพทางการเงิน และความสามารถในการสร้างผลกำไร ภายในสิ้นปีงบประมาณปี พ.ศ. 2566
หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญมากของพวกเขาก็คือการจัดการเรื่องฐานการผลิตและยุทธศาสตร์ด้านการผลิตในหลายภูมิภาค อันนำมาซึ่งแผนการปิดโรงงานผลิตหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการปิดโรงงานที่บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน และโรงงานที่ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เหลือโรงงานในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในอาเซียน
นิสสันระบุว่าภายใต้แผนดังกล่าวจะมีการเพิ่มบทบาทโรงงานประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ที่ถนนบางนา ตราด กม.21-22 จ.สมุทรปราการ ให้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคนี้ ซึ่งที่ผ่านมา นิสสันเองมีการเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในโรงงานทั้ง 2 แห่งในประเทศไทย ด้วยเม็ดเงินมหาศาล เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเต็มที่
โรงงานของนิสสัน ประเทศไทยนั้น ล่าสุดมีการลงทุนเพิ่มเติมกว่า 1 หมื่นล้านบาทในการเพิ่มศักยภาพในการผลิตรถยนต์ไฮบริดรูปแบบใหม่ ด้วยการเปิดสายการผลิตรถครอสโอเวอร์ Nissan Kicks (นิสสัน คิกส์) เป็นประเทศที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถผลิตรถยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดรูปแบบใหม่ได้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่นาน นิสสันได้ลงทุนเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ในประเทศไทย ด้วยเม็ดเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของนิสสัน ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีกำลังผลิต 1.5 แสนคัน เมื่อรวมกับโรงงานแรกที่มีกำลังผลิต 2.2 แสนคัน ทำให้นิสสันมีกำลังผลิตรถยนต์ในประเทศไทยถึง 3.7 แสนคันต่อปี
ทำไมต้องเป็น Nissan Ariya
แน่นอนว่านิสสันนั้นทำตลาดรถเอสยูวีในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงรุ่นล่าสุดอย่าง Nissan X-Trail (นิสสัน เอ็กซ์-เทรล) ที่เลื่องชื่อด้วยการดัมพ์ราคาในช่วงท้าย ก่อนปิดการขายไปแบบไม่สวยงามนั้น พวกเขาก็มีทางเลือกให้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ไฮบริด ให้ลูกค้าได้เลือกใช้งาน
ถามว่านิสสัน อาริยะ นั้นจะมาสานต่อตลาดเอสยูวีแบรนด์นิสสันในประเทศไทยได้หรือไม่ คำตอบก็คือน่าสนใจ ด้วยรูปร่างหน้าตา มิติตัวถังและฟังชั่นส์ต่าง ๆ ที่มีมาในรถถือว่าสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน หากสามารถทำราคาจำหน่ายที่สูสีกับเอสยูวีของคู่แข่ง
เพราะมีเงื่อนไขเรื่องราคาจำหน่ายเป็นหลักในการตัดสินใจด้วย หากนิสสันต้องการทำตลาดเอสยูวีรุ่นนี้อย่างจริงจัง พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเปิดสายการผลิตในประเทศไทย โดยถือเป็นการต่อยอดจากการผลิตเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ ซึ่งโรงงานนั้นพร้อมอย่างแน่นอนที่จะลุยกับโครงการนี้
ไม่ใช่แค่โรงงานที่ต้องเตรียมความพร้อม
รายงานข่าวที่เราได้ยินมาระบุว่าไม่ใช่แค่บริษัทและโรงงานเท่านั้นที่ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องโครงการรถยนต์รุ่นใหม่ แต่ยังรวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายของนิสสันทั่วประเทศ อาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเพื่อทำการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูงเพิ่มเติม หากมีการทำตลาดรถรุ่นนี้อย่างจริงจังในอนาคต
นิสสันนั้นมีประสบการณ์ในการทำตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าอย่างนิสสัน ลีฟ มาก่อน และแน่นอนว่าพวกเขาก็เริ่มจัดการให้ตัวแทนจำหน่ายบางส่วนนั้น ลงทุนในโครงการสถานีชาร์จไฟฟ้าไปบ้างแล้ว มีดีลเลอร์หลายรายที่ตัดสินใจเดินหน้าไปกับนิสสันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ได้มีเอาไว้รองรับนิสสัน ลีฟ เพียงรุ่นเดียว
อย่างไรก็ตาม กว่าที่โครงการนี้จะเดินหน้าได้อย่างฉลุย นิสสันเองคงต้องเดินหน้าเจรจากับตัวแทนจำหน่ายอีกหลายรายทั่วประเทศ เพื่อวางโครงข่ายการให้บริการของสถานีประจุไฟฟ้า และอาจจะต้องเดินหน้าพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐถึงความเป็นไปได้ในการดูแลลูกค้าของอาริยะเพิ่มเติมไปอีกในอนาคต
รู้จักกับ 2020 Nissan Ariya
ถือเป็นหนึ่งในรถเอสยูวีที่เรียกเสียงฮือฮามากที่สุดรุ่นหนึ่งหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ นิสสัน อาริยะ มาพร้อมภาพลักษณ์อันโฉบเฉี่ยว เน้นความไดนามิกของเส้นสายรอบตัวถัง และถือเป็นการเปิดตัวแนวทางในการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ของค่ายนิสสัน ที่จะถูกนำไปใช้กับรถอีกหลายรุ่นในอนาคต
อาริยะมาพร้อมแนวคิดในการออกแบบรถยนต์ยุคใหม่ ที่เน้นความเรียบง่าย โฉบเฉี่ยวสะดุดสายตา ติดตั้งโลโก้ใหม่ที่ส่องแสงแวววาวด้วยหลอดไฟแอลอีดี 20 ดวง แพลตฟอร์มรุ่นใหม่ที่เป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับรถไฟฟ้า กระจังหน้าคล้ายโล่ห์ขนาดใหญ่ รูปทรงแบบสามมิติที่ฝังอยู่ในพื้นผิวเรียบมัน
กรอบโคมไฟแถบยาวที่ออกแบบอย่างสวยงามจะเรืองแสงเมื่อมีการใช้งานรถยนต์ โคมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ขนาดเล็ก 4 โคม ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ออกแบบเสาซีแบบลาดยาวไปที่ด้านท้าย ชุดโคมไฟทั้งหมดถูกซ่อนเอาไว้ในแถบโคมไฟขนาดใหญ่ อาริยะจะมีตัวถังสีทูโทนให้เลือก 9 สี พร้อมด้วยสีตัวถังแบบปกติ 5 สี
ห้องโดยสารภายในออกแบบให้เหมือนกับนั่งอยู่ในคาเฟ่บนยานอวกาศ มีขนาดใหญ่ที่สุดในคลาส วางตำแหน่งของแบตเตอรี่ที่ฐานแชสซี เพิ่มพื้นที่วางขา ติดตั้งวัสดุดูดซับเสียง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่มากถึง 466 ลิตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อและ 408 ลิตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้งานกันได้เต็มที่
อาริยะมาพร้อมทางเลือกเครื่องยนต์ 4 รูปแบบ ประกอบไปด้วยรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้า 215 แรงม้า รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ เครื่องยนต์ 239 แรงม้า รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นเล็ก มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าความแรง 335 แรงม้า และรุ่นท็อปมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มอเตอร์ไฟฟ้า 389 แรงม้า แรงไม่แพ้ใคร
น่าใช้งานมากขึ้นด้วยระบบโปรไพลอต 2.0 ที่ผสานการทำงานของกล้อง 7 ตัว ระบบเรดาห์และเซนเซอร์อัลตร้าโซนิค 12 ตำแหน่ง ระบบแผนที่แบบ 3 มิติ ระบบโปรไพลอค พาร์ค มาพร้อมระบบนวัตกรรมด้านความปลอดภัย 360 องศาของนิสสัน เซฟตี้ ชิลด์ ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับทุกรุ่นย่อย
หากมองไปที่ตัวรถแล้วก็ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย หากนิสสันจะเอาเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อทดแทนตลาดเอสยูวีรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขายังต้องทำการบ้านอีกมากก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร และประเทศไทยจะมีสิทธิ์ได้ผลิตรถรุ่นนี้หรือไม่ ต้องติดตาม!!!