2021 Mercedes-Benz S-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศอินโดนีเซีย โดยเป็นการนำเข้าสำเร็จรูป ก่อนเปิดสายการผลิตอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4 ของปี 2564 ส่วนประเทศไทยเจอกันแน่ปีนี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดเวลาเปิดตัว
Choi Duk Jun ประธานบริหาร พีที เมอร์เซเดส-เบนซ์ อินโดนีเซีย ระบุว่าการส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่นี้จะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2564 โดยพวกเขาระบุว่า เอส-คลาสซึ่งเป็นรถซาลูนหรูที่ขายดีที่สุดในโลก จะนำเสนอนวัตกรรม ความปลอดภัยและความสะดวกสบายเหนือชั้น
"เอส-คลาสใหม่เป็นการตอกย้ำปรัชญาในการผลิตรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ซึ่งความหรูหราเดินทางมาพบกับความปลอดภัยสูงสุดและความสะดวกสบายในระดับเหนือชั้น ซึ่งเราเชื่อว่าเอส-คลาสจะสามารถก้าวสู่ผู้นำเซกเมนต์ได้อีกครั้ง"
เคาะราคาราว 6.67 ล้านบาทในรุ่น S450 4MATIC Luxury
ประเทศอินโดนีเซียเริ่มทำตลาดรถยนต์เอส-คลาสใหม่ ในรุ่นเริ่มต้นอย่าง S450 4MATIC Luxury ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาด 2,999 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบต่อนาที พร้อมเพิ่มกำลังอีก 22 แรงม้าในโหมด EQ Boost
แรงบิดสูงสุดของรถอยู่ที่ 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบต่อนาที และในโหมด EQ Boost จะเพิ่มแรงบิดอีก 250 นิวตันเมตร การส่งกำลังเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 5.1 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ราคาจำหน่ายสำหรับรถรุ่นนี้ในประเทศอินโดนีเซียอยู่ที่ 3,099 ล้านรูเปีย หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6.67 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาจำหน่ายของเวอร์ชั่นนำเข้าทั้งตัน โดยยังไม่มีรายละเอียดของรุ่นอื่น ๆ ที่จะทำตลาดเพิ่มเติม หากมีการผลิตในประเทศตามมาในอนาคต
การออกแบบที่เน้นความหรูหราและสะดวกสบายสูงสุด
รูปลักษณ์ภายนอกของ 2021 Mercedes-Benz S-Class เน้นความหรูหราและสง่างามจากหน้าจรดท้าย เติมเต็มความโฉบเฉี่ยวด้วยโคมไฟหน้าขนาดเล็กที่มีดีไซน์เฉียบคม เสาหลังคาท้ายออกแบบอย่างลื่นไหล ส่วนไฟท้ายถูกดีไซน์ให้เป็นแบบแนวนอนครั้งแรกในรอบ 3 เจนเนอเรชั่น
มือจับเปิดประตูถูกออกแบบให้แนบสนิทไปกับตัวถังรถ กระจกมองข้างมีครีบรีดอากาศซึ่งช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของลมด้านข้างอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดทำให้ซีดานพรีเมียมรุ่นใหม่นี้มีค่าแรงเสียดทานอากาศเพียง 0.22 ซึ่งถือว่ามีความลู่ลมที่สุดรุ่นหนึ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์
Mercedes-Benz ทำการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นซึ่งทำให้พื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม ทั้งในส่วนพื้นที่เหนือศรีษะ ข้อศอก และช่วงขา ตลอดจนเนื้อที่จัดเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงท้าย ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานรถคันนี้อย่างเหนือชั้นกว่าใคร
ห้องโดยสารมุ่งเน้นที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหลังอย่างเท่าเทียมกัน หน้าจอทัชสกรีนใหญ่อลังการขนาด 12.8 นิ้วบนคอนโซล แสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ MBUX เจนเนอเรชั่นที่ 2 ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้มากขึ้น มีดิสเพลย์แบบ 3D และรองรับการใช้งานอย่างเป็นธรรมชาติ
สวิทช์และปุ่มแบบดั้งเดิมมีจำนวนลดลง 27 ตำแหน่ง เกือบทุกฟังก์ชั่นสามารถสั่งงานได้ด้วยเสียงหรือระบบสัมผัส ช่องแอร์ถูกเปลี่ยนเป็นทรงเรียวบางเรียงต่อกัน 4 ช่องบนแดชบอร์ด เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa พร้อมฟีเจอร์แสงไฟแอมเบียนท์สร้างบรรยากาศ
คาดการณ์ว่าในไทยจะมาพร้อมดีเซล-ไฮบริดเหมือนเดิม
แม้จะยังไม่มีกำหนดการเปิดตัวสำหรับตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการคาดการณ์ค่อนข้างจะชัดเจนว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ก็เตรียมที่จะเปิดตัวซาลูนหรูหราที่สุดของค่ายในปีนี้อย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะมาพร้อมทางเลือกเครื่องยนต์เหมือนที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลในรุ่น S350d ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2,925 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้าที่ 3,400-4,600 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,200 รอบต่อนาที วิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในระยะเวลาแค่ 6.4 วินาทีเท่านั้น
อีกรุ่นนั้น เดิมจะต้องเป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ยังไม่มีรายละเอียดออกมา แต่ก็อาจมาพร้อมรหัส S450 เหมือนอินโดนีเซีย ถ้าเหนือกว่านั้นก็จะเป็น S500 เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ พร้อม EQ Boost ให้กำลังสูงสุด 429 แรงม้า พร้อมแรงบิด 520 นิวตันเมตรก็ได้