รถสปอร์ตในกลุ่มโรดสเตอร์ที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้น น่าจะเรียกได้ว่ามีการนำเข้ารถเข้ามาแข่งขันในตลาดระดับนี้ค่อนข้างสูง และเริ่มได้รับความนิยมจากลูกค้าที่รักในความเร็ว และต้องการฟิลลิ่งการขับขี่ที่ ต่างไปจากรถใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป วันนี้เราได้นำรถสปอร์ดโรดสเตอร์ 2 รุ่น ยอดนิยมอย่าง 2019 Mazda MX 5 RF และ 2019 Audi TT Roadster มาเปรียบเทียบกัน ด้วยเหตุผลในเรื่องของราคาที่ไม่ต่างกันมากนัก โดย Mazda MX 5 ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2.9 ล้านบาท ในขณะที่ Audi TT Roadster ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านบาท ราคาห่างกันราว 6 แสนบาท ในขณะที่รถในกลุ่มเดียวกันอย่าง BMW Z4 หรือ Toyota Supra นั้นมีราคาสูงถึง 4 - 5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าราคาห่างกันพอสมควร
รูปโฉมภายนอก
รูปโฉมภายนอกในภาพรวมถือว่าสวยงามมีเอกลักษณ์ทั้งคู่ MX 5มาในรูปแบบโรดสเตอร์คลาสสิคที่ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือโรดเตอร์ในตำนาน ด้วยรูปทรงคลาสสิก แต่แฝงไว้เส้นสายการออกแบบ เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่น่าจับตามอง ในขณะที่ Audi TT Roadster มาด้วยรูปทรงรถสปอร์ตดูทันสมัย เช่นเดียวกันรถ Audi TT ในซีรีย์อื่น ใครชอบแนวคลาสสิค Mazda MX 5 น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกใจ แต่ถ้าชอบแนวสปอร์ตล้ำยุคเหมือนกับหลุดมาจากวิดีโอเกม Audi TT Roadster น่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคุณ
ราคาต่าง สมรรถนะก็แตกต่าง
สำหรับ Mazda MX 5 RF ใช้เครื่องยนต์ รหัส SKYACTIV-G -G ความจุ 1,998 ซีซี กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่วน Audi TT Roadster ใช้เครื่องยนต์รหัส 45 TFSI quattro S line ความจุ 1,998 ซีซี เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 230 แรงม้า ที่ 4,500 – 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 4,300 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ S tronic 6 สปีด และที่สำคัญชื่อรหัลลงท้ายด้วย Quattro แสดงว่าจากสเปกเครื่องยนต์จะเห็นได้ว่า Audi TT Roadster ค่อนข้างจะกินขาดแบบไม่เห็นฝุ่นทั้งในแง่แรงม้าที่มากกว่าถึง 46 ตัว แรงบิด แรงม้า มาในรอบต่ำที่ต่ำกว่า Mazda MX 5 เรียกได้ว่ากำลังเหลือ ๆ แต่นั่นก็หมายความว่าคุณจะต้องจ่ายค่าตัวเพิ่มอีกประมาณ 7 แสนบาท เพื่อแลกกับความแรงที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้ามองในแง่การขับสนุกสไตล์โรดสเตอร์ในราคาและค่าตัวที่ไม่แรงมากนัก Mazda MX 5 ก็ยังให้อารมณ์สปอร์ตได้ไม่แพ้กัน
ออปชั่นที่ผู้ซื้อไม่ควรมองข้าม
สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวเลือกระหว่าง ก็คือออปชั่นด้านความปลอดภัย โดย Audi TT Roadster ได้ให้ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบป้องล้อหมุนฟรี TCS, ระบบควบคุมการทรงตัว ESC, เซ็นเซอร์ช่วยจอดหน้า-หลัง, กล้องมองหลัง และชุดปฐมพยาบาล
ในขณะที่ Mazda MX 5ให้ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) ,ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS) ,ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SCBS-R ,ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ,ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA) และระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง จะเห็นได้ว่ารถทั้ง 2 คันให้ออปชั่นมาในระดับที่ใกล้เคียงกันหากตัดในเรื่องความแรงของเครื่องยนต์แล้ว Mazda MX 5ดูเหมือนจะมีภาษีดีกว่า เพราะได้ออปชั่นที่ใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่านั่นเอง
มีดีด้วยกันทั้งคู่
เมี่อเปรียบเทียบกันทั้งคู่แล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจจะเกิดอาการลังเลอยู่ไม่น้อยเพราะ ด้วยราคาค่าตัวกับสิ่งที่ได้รับก็คือว่าสมน้ำสมเนื้อ กันทั้งคู่จะเลือก Mazda MX 5 ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะด้วยราคา ความแรง และออปชั่นที่ได้มาถือว่าคุ้มค่าตัวของเขาในรถกลุ่มนี้ แต่ขณะที่ Audi TT Roadster เพิ่มค่าตัวอีกประมาณ 6-7 แสนบาท แต่ได้ความแรงที่มากกว่าแถมยังเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่สมรรถนะการเกาะถนนที่ดี ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในราคาค่าตัวระดับนี้
แต่หากเทียบในแง่ฟิลลิ่งการขับ การเป็นรถโรดสเตอร์คันแรก สำหรับคนที่หลงรักในรูปโฉมคลาสสิค มีอารมณ์วัยรุ่น ร่างกายแข็งแรงยังหนุ่มยังสาว อยากลองขับดริฟต์ ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ในสนามทดสอบ ชอบเสียงเครื่องยนต์รอบจัด เราเชียร์ ให้เลือก Mazda MX 5 ตอบโจทย์ทุกอย่าง
ถ้าคุณมีอายุขึ้นมาอีกนิดต้องการขับโรดสเตอร์ที่มีนั่งสบายขึ้นมาอีกหน่อย ขับทางไกลได้แบบไม่เหมื่อย ไม่ต้องการลุ้นเวลาเข้าโค้งว่าท้ายจะปัดหรือหน้าจะบานออกจนระบบต้องช่วยทำงานบ่อย ๆ และต้องการอัตราเร่งทันใจ ไม่ชอบเสียงเครื่องยนต์ลากรอบสูงเน้นใช้งานในชีวิตประจำวันไปกลับที่ทำงานสบายๆ เราแนะนำ Audi TT Roadster จ่ายเพิ่มแต่ก็ได้หลายอย่างเพิ่มเข้ามาเช่นกัน ดังนั้นมวยคู่นี้อยู่ที่คุณจะเลือกว่าคันไหนโดนใจคุณมากที่สุดเพราะต่างฝ่าย ต่างมีดีทั้งคู่จริง ๆ.