รถยนต์กลุ่ม Mercedes-AMG (เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี) นั้น ขึ้นชื่อเรื่องของการเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงในเครือ Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) มาตลอด ด้วยการเลือกใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ที่ให้ทั้งแรงม้าและแรงบิดแบบเหนือชั้นแบบไม่เกรงกลัวใคร
แต่การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ทำให้มีกระแสการใช้งานรถยนต์เครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น หลายค่ายรถตัดสินใจทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายในไปหารถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบที่อาจจะสูญเสียบรรยากาศของการขับขี่ไป
เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีนั้นก็ตกเป็นข่าวการพัฒนารถยนต์หลากหลายรูปแบบ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าก็เช่นกัน แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น พวกเขาส่งรถยนต์โปรดักชั่นที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตจากโรงงาน ออกมาอวดโฉมเรียกความสนใจจากบรรดานักขับทั่วโลก
ด้วยการเรียกตัวเองว่าเป็นไฮบริด สมรรถนะสูง รถคันนี้มาพร้อมการปรับเปลี่ยนมากมายด้วยเทคโนโลยีจากรถแข่งฟอร์มูล่า-วัน การวางมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ตำแหน่งเพลาขับหลัง และแบตเตอรี่สมรรถนะสูงที่ทำการพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งหมด
Mercedes-AMG GT 63 E PERFORMANCE คือรถสปอร์ตไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์ ที่มาพร้อมการเป็นรถยนต์ที่สมรรถนะสูงที่สุดที่ทำการผลิตขึ้นมา โดยรถคันนี้ให้กำลังสูงสุดถึง 843 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดมหาศาลระดับ 1,400 นิวตันเมตรเลยทีเดียว!!!
การพัฒนาเพื่อเดินทางสู่โลกยานยนต์อนาคต
ฟิลิปป์ ไชเมอร์ กรรมการบริหารของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี บอกว่า รถยนต์รุ่นใหม่นี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอของแบรนด์เพื่อเดินทางสู่โลกยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งแนวทางแห่งเอเอ็มจี ที่ทำให้รถยนต์ของพวกเขานั้นพิเศษและน่าหลงใหล
"ด้วยการพัฒนาในอัฟฟาลเทอบาค (โรงงานผลิตรถยนต์ของแบรนด์) รถยนต์ไฮบริดสมรรถนะสูงนี้ได้นำเสนอประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้น และเป็นการสร้างความชัดเจนให้กับเทคโนโลยีใหม่ของเราที่เรียกว่า E PERFORMANCE ที่ใช้เป็นครั้งแรก"
นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่าแนวคิดใหม่จะช่วยให้สามารถขยายตลาดออกไปหากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการมีประสบการณ์กับแบรนด์เอเอ็มจีมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะทำให้เอเอ็มจีสามารถเดินทางสู่การเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในสเกลที่ใหญ่ขึ้นไปในอนาคต
การออกแบบภายนอกที่ดุดันเหนือชั้น
การออกแบบด้านหน้าที่เน้นกระจังหน้าที่กดต่ำลงไปเป็นพิเศษ การเพิ่มมัดกล้ามให้กับพื้นผิวภายนอกโดยภาพรวม และตัวถังด้านท้ายแบบฟาสต์แบ็คที่ดุดันและทรงพลัง ทำให้คูเป้ 4 ประตูคันนี้มีความโดดเด่นบนท้องถนนตั้งแต่เมื่อแรกเห็นเป็นครั้งแรก
ดีไซน์ภายนอกได้รับการปรับแต่งมาจากจีที คูเป้ มาพร้อมกระจังหน้ารูปทรงดุดัน ช่องดักอากาศแนวกว้างที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรถ ติดตั้งตำแหน่งการชาร์จไฟที่ด้านท้ายของตัวรถ ซึ่งเอเอ็มจีได้ทำการปรับเสียงท่อไอเสียให้ดุดันแม้จะเป็นไฮบริดก็ตาม
แพคเกจตกแต่งภายนอกสามารถเลือกได้หลากหลายรูปแบบ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 หรือ 21 นิ้ว ช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL+ พร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลายเพื่อให้เลือกใช้งานได้ตามความต้องการ เพิ่มความเร้าใจและสบายอย่างสูงสุด
ห้องโดยสารดุดัน และมาพร้อมระบบแสดงผลไฮบริด
ภายในห้องโดยสารก็มาพร้อมความดุดันแบบเต็มพิกัดเช่นเดียวกัน โดยพวงมาลัยแบบเอเอ็มจี เพอร์ฟอร์มานซ์ แบบ 3 ก้านคู่ พร้อมปุ่มควบคุมระบบต่าง ๆ ทำหใสามารถเลือกการใช้งานและควบคุม ทั้งในเรื่องของการขับขี่และระบบสนับสนุนอื่น ๆ ได้ง่าย
MBUX รุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอีกรอบ ด้วยการแสดงผลระบบไฮบริดแบบ AMG ซึ่งจะแสดงผลข้อมูลที่ต้องการอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของระยะทางวิ่งของไฟฟ้า การสิ้นเปลืองพลังงาน การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงอุณหภูมิของแบตเตอรี่
ภายในเลือกการตกแต่งแบบสปอร์ตหรือหรูหราได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเบาะหนังนัปปาสีเทาสุดขรึม ไปจนถึงเบาะที่เหลือง ฟ้า ขาว ก็ได้ทั้งสิ้น รวมถึงยังสามารถเลือกการตกแต่งในห้องโดยสารตามตำแหน่งต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของเจ้าของ
เครื่องยนต์วางหน้า มอเตอร์วางหลัง กดทีมีวาร์ป
ระบบไฮบริดทั่ว ๆ ไปนั้นจะใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กแล้วให้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยส่งกำลัง แต่ไม่ใช่กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี ที่เลือกใช้เครื่องยนต์วี8 ขนาด 4.0 ลิตร ไบเทอร์โบ เป็นหลัก ติดตั้งด้านหน้าของรถ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งที่เพลาหลัง
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AMG Performance 4MATIC+ ในการดูแลม้าทั้งคอก 843 ตัว พร้อมแรงบิดสูงสุด 1,400 นิวตันเมตร ทำให้สามารถวิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 2.9 วินาที และวิ่งจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในไม่ถึง 10 วินาที
ความเร็วสูงสุดของรถนั้นทำได้ถึง 316 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสมถรรนะของรถที่ยอดเยี่ยมส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 204 แรงม้าที่ติดตั้งที่เพลาหลัง พร้อมเกียร์ไฟฟ้า 2 สปีด ที่ทำงานผสานกับแบตเตอรี่สมรรถนะสูงที่นำมาใช้ครั้งแรก
ถือเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงที่น่าสนใจว่าจะเข้าเมืองไทยไหมนะ...