หลายคนชอบพูดว่าคนไทยนั้นได้ใหม่แล้วลืมเก่า ชอบอะไรใหม่ ๆ สดใสเนียยกริ๊บ แต่ความคิดดังกล่าวคงจะใช้ไม่ได้กับตลาดรถยนต์นั่งแฮชท์แบ็คขนาดกลาง-เล็ก ที่มีรถยนต์รุ่นโคตรเก่าระดับกำลังจะเลิกทำตลาด มียอดจำหน่ายมาเป็นอันดับ 2 ของเซกเมนต์ เอาชนะคู่แข่งที่เปิดตัวใหม่ สดใสไฉไลกว่าหลายขุม
แน่นอนครับว่าเรากำลังพูดถึง Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ซ) แฮชท์แบ็ค 5 ประตู ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขวัญใจผู้ใช้งานในประเทศไทยมานานแสนนาน และแม้พวกเขาเตรียมจะกล่าวลาตลาดเมืองไทย เมื่อฮอนด้ามีข่าวว่าจะเปิดตัว Honda City Hatchback (ฮอนด้า ซิตี้ แฮชท์แบ็ค) ที่น่าจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รถยนต์รุ่นนี้ในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตาม แจ๊ซเองกลับแรงไม่หยุด เมื่อในเซกเมนต์นี้ พวกเขายังมียอดจำหน่ายที่ดีด้วยยอดขายเฉลี่ยมากกว่า 1,000 คันต่อเดือนตลอด 7 เดือนแรกของปีนี้ โดยมียอดจำหน่ายรวม 7,329 คัน มีส่วนแบ่งตลาดในเซกเมนต์ไปถึง 18.3% เป็นรองก็เพียงแค่ Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) ที่ขายไปประมาณ 1 ใน 3 ของเซกเมนต์เท่านั้น
เหลือบตาไปมองคู่แข่งรายอื่นก็ถือว่าไม่ธรรมดา และทำให้ต้องถามหาความแข็งแกร่งของแจ๊ซมากขึ้นไปอีก เพราะในตลาดนี้ มีทั้งอีโคคาร์โครงการสองอย่าง Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) และ Mazda 2 Hatchback (มาสด้า 2 แฮชท์แบ็ค) ซึ่งคันแรกมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าชัดเจน ขณะที่คันหลังก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและของเล่นใหม่ ๆ ครบคัน
นับจากการเปิดตัวในช่วงกลางปี 2014 เป็นต้นมา ฮอนด้านั้นสนุกสนานกับการทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้อย่างต่อเนื่องและมีเรื่องราวกล่าวขวัญมากมาย ซึ่งแน่นอนว่ามีแฟน ๆ ของรถคันนี้หลายต่อหลายคนที่ยังรักรถคันนี้อยู่ และนี่สาเหตุที่ AutoFun คิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้รถคันนี้ยังรักษายอดขายเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
1.รูปทรงยังทันสมัยแม้ผ่านมาหลายปี
หากมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกของรถคันนี้ ต้องยอมรับว่าการออกแบบแนวอวกาศที่ดูขัดตาเล็กน้อยในช่วงเวลาของการเปิดตัว กลายเป็นเทรนด์การออกแบบรถยนต์ยุคใหม่ไปอย่างไม่น่าเชื่อ การขยายกระจังหน้าออกไปตามแนวนอน รับกับโคมไฟหน้าขนาดเล็ก กันชนชิ้นใหญ่ต่อเนื่องกับตัวถัง กลายเป็นสิ่งที่รถหลายคันเดินตาม
แม้แต่ไฟท้ายแนวตั้ง ที่ประกอบไปด้วยโคมไฟเล็ก ๆ ในกรอบเดียวกัน ก็ดูยังสวยแบบไม่ขัดตาแม้จะผ่านมานานถึง 6 ปี ขณะที่ในโฉมปัจจุบันมีการเล่นสีสันระหว่างชิ้นส่วนตัวถังภายนอกเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เรียกได้ว่าเป็นงานออกแบบรถยนต์ที่ข้ามยุคมาได้แบบเนียนตา และทำให้ผู้บริโภคเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ารถมันเชยแต่อย่างใด
2.ห้องโดยสารแห่งความเอนกประสงค์เหนือชั้น
ไม่ใช่แค่ความกว้างของห้องโดยสารที่เหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน และดีกว่ารถที่เปิดตัวระยะหลัง ๆ หลายรุ่น แต่ความสามารถในการปรับเปลี่ยนห้องโดยสารของแจ๊ซให้รองรับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป คือจุดขายชั้นดีที่หลาย ๆ คัน หลาย ๆ รุ่น ต้องเอาไปทำการศึกษาและพัฒนารถของเขามาเพื่อให้เอนกประสงค์มากกว่าให้ได้
แต่ภาพจำในสายตาของผู้บริโภคนั้น มองว่าแจ๊ซเองเป็นต้นแบบแห่งห้องโดยสารแห่งความไดนามิก พื้นที่การเก็บสัมภาระกว้างขวางและหลากหลายรูปแบบ ใช้งานง่าย รองรับการใช้งานได้ทั้งการขับขี่คนเดียว ขนย้ายสัมภาระ และการพาครอบครัวเดินทางไปไหนต่อไหน เรียกว่ารองรับการใช้งานได้อย่างครบครัน
3.เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่ไว้วางใจได้และคุ้นเคย
เมื่อตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และผู้ประกอบการต่างก็นำรถขนาดนี้ไปปรับเป็นอีโคคาร์ วางเครื่องยนต์ 1.0-1.2 ลิตรกันหมด แจ๊ซนั้นยืนหยัดในตลาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรอย่างเหนียวแน่น และเป็นผู้ประกอบการไม่กี่รายที่นำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์ดังกล่าว และแน่นอนว่าผู้บริโภคหลายคนก็ตัดสินใจซื้อรถคันนี้ด้วยเหตุนี้
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร อาจจะไม่ใช่เครื่องยนต์ที่สมรรถนะสูงสุดหรือให้อัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าดแบบเครื่องยนต์เทอร์โบและไฮบริด แต่เครื่องยนต์รุ่นนี้ก็คุ้นหูคุ้นตาผู้บริโภคชาวไทย ผู้ไม่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือความคิดในการใช้รถมาก การใช้เครื่องยนต์เดิม ๆ ที่ให้อัตราเร่งพอตัวและประหยัดน้ำมันพอใช้ได้ ก็เป็นอีกออพชั่นเช่นกัน
4.เอาไปแต่งต่อหรือโมต่อก็ไม่ยาก
ด้วยรูปทรงของรถนั้น ต้องบอกว่าบรรดาวัยรุ่นทั้งหลายก็พึงพอใจกับรถคันนี้ไม่น้อยเช่นเดียวกัน และหลาย ๆ ครั้ง เราก็จะเห็นฮอนด้าแจ๊ซที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันวิ่งอวดโฉมบนท้องถนน ต้องบอกว่าแจ๊ซเป็นรถที่มีชุดแต่งมากมายให้เลือกหาได้ ตั้งแต่สนนราคาไม่กี่บาท ยันแต่งใหม่ให้เท่ากับซื้อรถได้อีกคันได้เลย
เครื่องยนต์รุ่นที่เราคุ้นเคยกันดีนี้ บรรดาขาโมเครื่องยนต์ก็คุ้นเคยเป็นดิบดีเช่นกัน เพราะรถก็ทำตลาดมาได้นานสักพัก การหาอู่หรือศูนย์ภายนอกที่ช่วยดูแลในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นอะไร รวมถึงมีคลับ ชมรม และผู้เชี่ยวชาญมากมายให้สมาชิกใหม่ ๆ ไปร่วมหาข้อมูลกันได้ และที่สำคัญ รถรุ่นนี้มีเกียร์ธรรมดาด้วยนะ
5.ภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของแบรนด์และรถ
ต้องยอมรับกันว่า หากไม่ได้รับผลดีจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ฮอนด้าและแบรนด์ของแจ๊ซที่สร้างสมกันมาอย่างยาวนาน โอกาสที่รถคันหนึ่งจะยืนหยัดทำตลาดอย่างเหนียวแน่น และมียอดจำหน่ายมากกว่าคู่แข่งหน้าใหม่มากมาย ที่มองในมุมไหนก็มีความน่าสนใจของตัวสินค้ามากกว่า ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ พอมีข่าวคราวเรื่องการเปิดตัวซิตี้ แฮชท์แบ็ค ว่าจะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเหมือนกับ Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) แฟนคลับบางคนที่ยังลังเลอยู่ ก็เร่งตัดสินใจแบบไม่ยากเย็น เพราะฮอนด้าเองก็มีความเก่งในเรื่องการจัดการสต๊อกรถพอตัว จะให้ไปรอซื้อตอนรถใหม่เปิดตัว ก็อาจจะแห้วได้เช่นกัน ใครพร้อมก็รีบซื้อกันก่อนเลย
แล้วตัวรถล่ะมีข้อเสียอะไรไหม
เอาจริง ๆ โดยส่วนตัวแล้ว หากมองกันในภาพรวม ฮอนด้า แจ๊ซ ที่มีอายุในการทำตลาดมานาน 6 ปี ปรับไมเนอร์เชนจ์มาหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่พวกเขาไม่มีทางสู้กับคู่แข่งได้เลยก็คือเรื่องของเทคโนโลยีและระบบการช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ ที่เทียบกับคู่แข่งในอีโคคาร์ เฟสสอง ก็ถือว่าแพ้กันไปแบบไม่ต้องเปรียบอะไรทั้งสิ้น
อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ในรถนั้น ก็ต้องทำใจก่อนว่านี่คือรถที่ไม่ได้เป็นโฉมใหม่อีกต่อไป หากจะซื้อรถคันนี้เพื่อการใช้งาน ก็ต้องมองไปที่ข้อดีเรื่องความเอนกประสงค์ ความง่ายดายในการใช้งาน มากกว่าที่จะมานั่งถามหาสิ่งที่ตัวรถไม่มีวันนำเสนอให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องตัดสินใจไปซื้อรุ่นอื่นแทนก็หมดเรื่อง
ตอนนี้ฮอนด้า แจ๊ซมีขายกี่รุ่นในประเทศไทย
ฮอนด้า แจ๊ซ ในประเทศไทยในปัจจุบัน วางจำหน่ายทั้งหมด 6 รุ่น โดยเริ่มจากรุ่นเอส เกียร์ธรรมดา ราคาจำหน่าย 5.55 แสนบาท จากนั้นก็จะเป็นรุ่นเกียร์ซีวีทีธรรมดา 3 รุ่น ราคาจำหน่าย 5.94-6.94 แสนบาท และรุ่นตกแต่งพิเศษอาร์เอส 7.39 แสนบาท ส่วนรุ่นท็อปคือาร์เอสท็อป ที่มาพร้อมของเล่นเพิ่มเติมในราคา 7.54 แสนบาท
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 117 แรงม้า มาพร้อมเกียร์ซีวีที และแพดเดิลชิฟท์ 7 สปีดในรุ่นท๊อป ระบบคุมความเร็วอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัย 6 ลูก โครงสร้างตัวถังนิรภัยและระบบด้านความปลอดภัยหลากหลายรูปแบบ เรียกว่าอาจจะไม่สามารถเทียบกับคู่แข่งในยุคใหม่ ๆ ได้ แต่ก็ไม่ล้าสมัยกว่าใคร แถมซื้อตอนนี้ ได้ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ด้วยนะ