หลังจากพลาดท่าเสียทีหลุดจากตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์หรูหราในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ประกาศการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการคว้าแชมป์ยอดขายไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยตัวเลขจดทะเบียนรถใหม่ 3,178 คัน
โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าด้วยความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่งผลให้เมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดขายรถยนต์ที่จดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก เป็นอันดับ 1 ของรถยนต์ลักชัวรี
"ทั้งนี้ ยังเป็นผลมาจากการที่เราสามารถเพิ่มปริมาณรถยนต์ให้เพียงพอต่อการส่งมอบในเดือนมีนาคม โดยยังรวมถึงการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกมาได้อย่างหลากหลายรุ่นมากที่สุดในตลาดรถยนต์ไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเอเอ็มจี เอสยูวีหรือปลั๊กอินไฮบริดก็ตามที
ทำไมถึงต้องเป็นยอดการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่
อาจจะดูแปลก ๆ ไปบ้าง เพราะปกติในการรายงานยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนที่เราคุ้นเคย ค่ายรถเองมักจะแสดงตัวเลขยอดขายที่เกิดขึ้น และไม่ค่อยพูดถึงยอดจดทะเบียนกันสักเท่าไรนัก เพราะตัวเลขดังกล่าวมักจะไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าไรในเชิงปฏิบัติ
โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารถยนต์หรูหราที่มักจะใช้งานรถยนต์ด้วยป้ายแดงนานกว่าที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ค่ายรถยนต์หรูไม่ได้รายงานตัวเลขยอดจำหน่ายประจำเดือนอยู่แล้ว หากต้องการตัวเลขที่เอามายืนยันได้ ก็ต้องใช้ตัวเลขจดทะเบียนนี่ล่ะที่ชัดเจนที่สุด
อย่างไรก็ตาม สงครามปีนี้ยังไม่จบ เพราะนายใหญ่ค่ายตราดาวระบุว่าการคว้าแชมป์ยอดจองในงานมอเตอร์โชว์ถือเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะพวกเขาเตรียมส่งทัพรถใหม่ 15 รุ่น พร้อมกับรถปลั๊กอินไฮบริดอีกหลายรุ่นเข้าทำตลาด เพื่อให้รองรับความต้องการของลูกค้าอย่างครบครัน
ก่อนหน้านี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Benz A-Class, Mercedes-Benz GLA หรือ Mercedes-Benz E-Class ใหม่ รวมไปถึงเวอร์ชั่นประกอบในประเทศของ Mercedes-Benz GLS ก็เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว Mercedes-Benz GLE ที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งสินค้าใหม่เหล่านี้ ล้วนแต่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคชาวไทย จนทำให้ค่ายรถยนต์ตราดาวกลับมาคว้าแชมป์ยอดจดทะเบียนได้ในที่สุด
ไม่ได้ขายดีแค่ในเมืองไทย แต่เติบโตกันไปทั่วโลก
สำหรับในตลาดโลก ไตรมาสแรกถือเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วของแบรนด์ ด้วยการทำยอดขายทั่วโลก 590,999 คัน เติบโตขึ้น 22.3% เป็นผลมาจากยอดขายในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา และความต้องการของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
ในตลาดโลก รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของแบรนด์มีสัดส่วนการขาย 10% ของยอดขายทั้งหมด หรือประมาณ 5.9 หมื่นคัน ในจำนวนนี้ เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% จำนวน 1.6 หมื่นคัน ขณะที่สัดส่วนการขายรถกลุ่มนี้ในยุโรปคิดเป็นสัดส่วน 25%
ตลาดจีนถือเป็นตลาดหลักสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยการส่งมอบรถยนต์ 222,520 คันในไตรมาสที่ 1 คิดเป็นการเติบโตถึง 60.1% ส่งผลให้ยอดขายในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกเติบโตขึ้น 46.6% ขณะที่ในยุโรปก็ยังเติบโตท่ามกลางมาตรการล็อกดาวน์หลายพื้นที่ที่ 1.8%
เดินหน้าผลักดันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่
เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีแผนที่จะเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม EQ อย่างเต็มที่ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเริ่มต้นจากการเปิดตัว EQC เอสยูวีขนาดเล็ก ตามมาด้วย EQV รถตู้พลังงานไฟฟ้า ที่ต่างก็ได้รับการตอบรับที่ดีทางด้านยอดจำหน่ายจากกลุ่มลูกค้าทั่วโลก
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ทำการเปิดตลาดครอสโอเวอร์ขนาดเล็กกับ EQA ก่อนที่จะบุกตลาดหรูหราอย่างเต็มรูปแบบด้วย EQS ที่มาพร้อมหน้าจอเต็มคอนโซลหน้าอันโดดเด่น และเอาใจกลุ่มครอบครัวด้วยการเปิดตัว EQB ในงานออโต้ ไชน่า เมื่อวานนี้
สำหรับตลาดประเทศไทยกับรถไฟฟ้าตราดาวนั้น ก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจากันไม่จบสิ้นว่าตกลงแล้วเราจะได้รถรุ่นไหนมาทำตลาดกันแน่ แล้วจะเป็นการประกอบในนี้หรือนำเข้ามาแบบไม่เสียภาษีจากประเทศจีน อันนี้ก็ยังเป็นหนังอีกเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป