ตลาดรถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดและไฟฟ้า กำลังได้รับอานิสงค์จากอัตราภาษีสำหรับรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ราคาจำหน่ายหายไปกว่าครึ่ง และทำให้ยอดจำหน่ายของผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถทำได้เหนือกว่าเป้าหมาย

จากเดิม รถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่ใช้เครื่องยนต์เกิน 3.0 ลิตร จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตในพิกัด 40% แต่หากเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดหรือไฟฟ้า ที่มีการปล่อยไอเสียน้อยกว่า ก็จะเสียภาษีที่น้อยกว่านั้น ลดหลั่นกันลงไป ทำให้ลูกค้าชาวไทยสามารถจับจองกันได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น McLaren Artura (แม็คลาเรน อาร์ทูร่า) ซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย McLaren (แม็คลาเรน) ที่เปิดตัวในประเทศไทยที่ราคา 16.7 ล้านบาท ก็เป็นเพราะอานิสงค์ของการเป็นรถยนต์ไฮบริดที่เสียภาษีต่ำและการปล่อยไอเสียที่ลดลงไปนั่นเอง

อัตราภาษีใหม่ ราคาหายไปกว่าครึ่ง

วิสวัท ชินบารมี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ McLaren Bangkok เปิดเผยว่า อาร์ทูร่านั้นเสียภาษีสรรพสามิตที่อัตรา 8% จากหลักการของรถยนต์ไฮบริดและปล่อยไอเสียต่ำเพียง 129 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งทำให้ทำราคาจำหน่ายของรถรุ่นใหม่นี้ได้ที่ 16.7 ล้านบาทสำหรับประเทศไทย

"ถ้าไม่ได้ภาษีสำหรับรถไฮบริดมาช่วยไว้ เมื่อเทียบกับสมรรถนะของซูเปอร์คาร์ระดับนี้ ราคาจำหน่ายในประเทศไทยน่าจะต้องมากกว่า 30 ล้านบาทอย่างแน่นอน ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ที่มีราคาจำหน่ายถูกที่สุดเท่าที่แม็คลาเรนเคยทำตลาดในประเทศไทยเลยทีเดียว"

ด้วยสนนราคาที่น่าสนใจ ทำให้โควต้าการจำหน่ายในปีแรกที่ได้มา 10 คันนั้น มีลูกค้าจองทั้งหมดแล้ว และในปีหน้า ได้ขอโควต้าเพิ่มขึ้นเป็น 23 คัน โดยอาร์ทูร่าเป็นสินค้าหลักที่จะทำให้ยอดจำหน่ายของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40 คัน เทียบกับ 35 คันเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา

อ่านเพิ่มเติม: ขายไทยแล้ว 2021 McLaren Artura ราคา 16.7 ล้านบาท รถสปอร์ตอะไรกัน จิบน้ำมันเพียง 17.8 กม./ลิตร

ไม่ได้มีแต่แม็คลาเรนที่ได้ผลจากอัตราภาษีนี้

แม็คลาเรนคือผู้เล่นรายล่าสุดที่ได้ประโยชน์จากภาษีสำหรับรถยนต์ไฮบริด-ไฟฟ้า แต่เอาจริง ๆ แล้ว ตลาดรถยนต์ซูเปอร์คาร์ก็ได้รับผลดีมาอย่างยาวนานจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ และรวมไปถึง Koenigsegg Gemera (เคอนิกเส็กก์ เจเมร่า) ไฮเปอร์คาร์จากประเทศสวีเดนก็เช่นกัน

เจเมร่าที่นำเข้าประเทศไทยด้วยราคาขายรวมภาษีประมาณ 3 ล้านยูโร คำนวนเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ 100 ล้านบาทต้น ๆ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยสำหรับการคิดอัตราภาษีแบบเก่า ที่น่าจะทำให้รถคันนี้มีราคาจำหน่ายขึ้นไปแตะหลัก 200 ล้านบาท หากเป็นการคำนวนภาษีแบบในอดีต

นอกจากนี้ หากไปไล่ดูย้อนกลับไป ก็จะพบว่ามีค่ายรถซูเปอร์คาร์หลายค่ายก็ได้สิทธิประโยชน์ตรงนี้เช่นกัน โดยเฉพาะค่ายที่หันมาทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเกือบทั้งหมดอย่าง Porsche (ปอร์เช่) ก็มีราคาจำหน่ายที่ลดลง และมียอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อ่านเพิ่มเติม: ชมคันจริงในไทย Koenigsegg Gemera ไฮบริดสุดปัง พลัง 1,700 แรงม้า ราคากว่า 100 ล้านบาท

คุ้มค่าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคนมอง

เดิมทีนั้นโครงสร้างภาษีนำเข้ารถยนต์ของประเทศไทยนั้นถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากรัฐบาลเองต้องการคุ้มครองค่ายรถยนต์ที่เปิดสายการผลิตรถยนต์ในประเทศ และยิ่งเป็นกลุ่มรถซูเปอร์คาร์ที่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ยิ่งโดยโครงสร้างภาษีทั้งแรงม้าและการปล่อยไอเสียคุมเข้ม

ทำให้สนนราคาของซูเปอร์คาร์ในอดีตนั้นถูกดีดขึ้นไปถึงระดับมากกว่า 20 ล้านบาทเกือบทั้งหมด หรืออย่างพวกปอร์เช่นั้นก็มีราคาเฉียด ๆ 10 ล้านบาทให้ได้เห็น เรียกว่าถ้าโครงสร้างภาษีไฮบริด-ไฟฟ้าไม่มีออกมา คงไม่ได้เห็น Porsche Taycan (ปอร์เช่ ไทคันน์) ในราคาไม่ถึง 7 ล้านบาท

ก็เลยมีคำถามว่ามันคุ้มค่ากันหรือไม่กับโครงสร้างภาษีที่ดูเหมือนไปอุ้มรถยนต์กลุ่มนี้แบบไม่ตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ในเบื้องต้นที่มีการคิดค้นโครงการนี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศที่ใช้งานรถยนต์พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

อ่านเพิ่มเติม: 2021 Porsche Taycan เปิดขายรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคา 6.19 ล้านบาท เผยสเปคในไทยแล้ว

เรื่องนี้ก็คงต้องมองเป็นสองมุม อย่างแรก หากเป้าหมายคือการสนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนเพียงเท่านั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะยังไงรถยนต์เหล่านี้ที่เข้ามาก็ปล่อยไอเสียน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบปกติอยู่แล้ว ถ้าเข้ามามากก็ถือว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้

แต่หากมองว่าทำไมถึงปล่อยให้รถยนต์สำหรับมหาเศรษฐีเข้ามาทำราคาถูกวิ่งกันเกลื่อนเมือง แทนที่จะเก็บภาษีได้เป็นกอบเป็นกำกว่านี้ก็ย่อมได้เหมือนกัน เรื่องนี้แล้วแต่คนคิด แต่ว่าทุกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ เพียงแต่กฎที่ออกมาแต่แรกนั้นไมได้ครอบคลุมให้รอบด้านก็เท่านั้นเอง