ตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดเล็กรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่งในปีหน้าจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์แน่นอน เมื่อมีรถใหม่จ่อคิวเปิดตัวกันอย่างคึกคัก

ไล่เลียงตั้งแต่การปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ของ Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) ที่ใส่คุณสมบัติน่าสนใจเพิ่มเติมมาเพียบ พร้อมด้วยการผลัดเปลี่ยนเจนเนอเรชั่นของ Toyota Avanza (โตโยต้า อแวนซ่า) ที่พลิกโฉมแพลตฟอร์มใหม่ และ Honda BR-V (ฮอนด้า บีอาร์-วี) ที่เติมลุคตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย ทำเอาผู้บริโภคเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว

รถยนต์ทั้ง 3 โมเดลจะเปิดตัวออกทำตลาดอินโดนีเซียเป็นแห่งแรกในโลก ก่อนที่จะทยอยออกจำหน่ายทั่วภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเมืองไทยด้วย เราไปชมสเปกเบื้องต้นกันว่าคันไหนมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันอย่างไร

Honda BR-V

ต่อยอดจากรถต้นแบบ N7X Concept ที่เผยโฉมเมื่อเดือนพฤษภาคม Honda เปิดตัว BR-V ใหม่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาซึ่งมีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจากรุ่นต้นแบบมากนัก

Honda ระบุว่า BR-V ใหม่มีตัวถังใหญ่ขึ้นแต่ยังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นสะดุดตา ด้านหน้ามาพร้อมซิกเนเจอร์ Solid Wing Face คาดแถบโครเมียมประกบด้วยไฟหน้ารูปทรงปราดเปรียวเทคโนโลยี LED พร้อมเดย์ไลท์

อ่านเพิ่มเติม: พาชมคันจริง 2022 Honda BR-V ลุ้นผลิตและวางขายปีหน้า

การตกแต่งรอบคันยังเสริมลุคสมบุกสมบันด้วยการติดตั้งวัสดุกันกระแทกสีเงินผสานกับสีดำ ทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจว่าจะสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

ภายในห้องโดยสารยกโครงสร้างบางส่วนมาจาก Amaze รุ่นใหม่ (ที่ไม่ได้จำหน่ายในเมืองไทย) และได้แรงบันดาลใจมาจาก CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) ด้วยเช่นกันโดยเฉพาะช่องแอร์ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนสุดของคอนโซลหน้า ต่ำลงมาเป็นหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ส่วนด้านล่างเป็นแผงควบคุมระบบปรับอากาศ

ฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ยังรวมถึงรีโมทสตาร์ท ระบบล็อกเมื่อเดินห่างจากรถ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ที่พักแขนทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง ช่องชาร์จไฟทั้งเบาะแถวที่ 2 และแถวที่ 3 ส่วนการตกแต่งมีเมทัลลิกและเปียโนแบล็ก

ระบบความปลอดภัยมีแพ็คเกจ Honda Sensing ทำงานด้วยกล้องควบคุมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบล็อกความเร็วแปรผัน ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้า และระบบไฟสูงอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับมุมอับสายตาด้านข้างอย่าง LaneWatch และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง

เปิดฝากระโปรงขึ้นมาจะพบเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร i-VTEC รีดพละกำลัง 121 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาที และมีแรงบิด 145 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ CVT รุ่นใหม่ ขับเคลื่อนล้อหน้า

Mitsubishi Xpander

รูปลักษณ์ของ Xpander โฉมไมเนอร์เชนจ์ยังคงโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ Dynamic Shield โดยได้รับการปรับปรุงรายละเอียดหลายส่วน ทั้งกระจังหน้าลายรังผึ้ง แผงกันชนชุดใหม่ ไฟหน้าและไฟท้าย LED ใหม่แบบ T-Shape ล้ออัลลอยตกแต่งสีทูโทนขนาด 17 นิ้วที่ดูล้ำสมัย

จุดที่น่าสนใจของภายนอกคือมิติตัวถังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีความยาว 4,595 มม. (ยาวขึ้น 120 มม.) สูง 1,750 (สูงขึ้น 50 มม.) ส่วนความกว้างเท่าเดิมที่ 1,750 มม. 

อ่านเพิ่มเติม: 2022 Mitsubishi Xpander ไมเนอร์เชนจ์ โฉมอินโดฯ ใหม่ทั้งภายนอก-ใน

ระยะความห่างจากพื้นของ Xpander ใหม่ถูกเพิ่มขึ้นจาก 205 มม. ไปเป็น 220 มม. ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในระดับเดียวกันจากการปรับปรุงโช๊คอัพทั้งด้านหน้าและหลังใหม่ พร้อมกับเพิ่มวาล์วสมรรถนะสูงที่ช่วยในเรื่องความสะดวกสบายและเสถียรภาพการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

ขุมพลังยังคงเป็นบล็อกเดิม เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิด 141 นิวตันเมตร แต่ไฮไลท์อยู่ที่การเปลี่ยนระบบส่งกำลังจากเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดที่ค่อนข้างล้าสมัยไปเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT ลูกใหม่

การตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ทำให้ Xpander ไมเนอร์เชนจ์มีบรรยากาศที่ทันสมัยมากขึ้นอย่างชัดเจน ใช้วัสดุซอฟท์ทัชให้ผิวสัมผัสนุ่มนวล พร้อมการเล่นสีแบบทูโทนตามสมัยนิยม พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นและหน้าจอแสดงผลใหม่ทำให้ดูน่าจับต้อง คอนโซลกลางถูกขยายให้ตอบโจทย์การใช้งานดีกว่าเดิม

Xpander ไมเนอร์เชนจ์มาพร้อมหน้าจอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 8 นิ้ว มาตรวัดกราฟฟิกใหม่ จอแสดงผลระบบปรับอากาศแทนที่สวิทช์บิดหมุนดั้งเดิม และยังติดตั้งเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold มาให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีช่องชาร์จไฟ USB ด้านหลังที่วางแขนหน้า ส่วนช่องเก็บของจุกจิกมีทั้งหมดถึง 19 ช่อง เบาะรองรับการพับปรับตำแหน่งได้หลากหลายรูปแบบ

ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบล็อคประตูอัตโนมัติตามความเร็วพร้อมระบบ ASC, ABS-EBD พร้อม BA, ESS รวมถึงระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน แต่ปราศจากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เหมือนคู่แข่ง

Toyota Avanza

หลังจากทำตลาดมานานหลายปี Toyota ได้ฤกษ์ผลัดใบเปลี่ยนโมเดลเชนจ์ 2022 Toyota Avanza ใหม่เข้าสู่เจนเนอเรชั่นที่ 3 อย่างเป็นทางการ

All-New Avanza ถูกพัฒนาขึ้นแบบใหม่เอี่ยมถอดด้าม สร้างบนแพลตฟอร์ม Daihatsu New Global Architecture (DNGA) เปลี่ยนจากโครงสร้างขั้นบันไดมาเป็นแบบโมโนค็อกให้สมกับเป็นรถยนต์นั่งซิตี้คาร์มากขึ้น ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม

อ่านเพิ่มเติม: เปิดตัว 2022 Toyota Avanza และ Veloz ใหม่ หล่อเหลา บึกบึน

รถเอ็มพีวีรุ่นใหม่ของ Toyota ยังเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ขุมพลังขับเคลื่อนในแดนอิเหนามี 2 รุ่นให้เลือกสรร เริ่มจากเครื่องยนต์ 4 สูบ รหัส 1NR-VE Dual VVT-I ขนาด 1.3 ลิตร พละกำลัง 98 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 121 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

อีกหนึ่งหัวใจขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส 2NR-VE ขนาด 1.5 ลิตร พละกำลัง 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 137 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ CVT โดยยกเลิกการใช้งานเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดไปเรียบร้อยแล้ว

มิติตัวถังของ Avanza ใหม่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยยาว 4,395 มม. กว้าง 1,730 มม. สูง 1,700 มม. ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,750 มม. ล้ออัลลอยใช้ขนาด 16 นิ้ว

รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีความทันสมัยและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ไฟหน้า LED รูปทรงปราดเปรียว ขณะที่กระจังหน้ามีขนาดใหญ่ที่ชวนให้นึกถึง Corolla Cross (โตโยต้า โคโรลล่า ครอส) ไฟตัดหมอกทรงกลมซุกอยู่ในกรอบดีไซน์หวือหวา เส้นสายด้านข้างมีความเฉียบคมนำสายตาไปถึงบั้นท้ายที่ดูดีขึ้นกว่าเดิม

ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ครบครันทั้งระบบป้องกันการชน ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว ระบบป้องกันรถออกนอกเลน ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งผิดพลาด ระบบแจ้งเตือนการจราจรตัดขวางด้านหลัง และระบบตรวจจับมุมอับสายตา พร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง

สำหรับรุ่นอัพเกรดความหรูหราอย่าง Avanza Veloz ในอินโดนีเซียมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียบพร้อม ทั้งมาตรวัดมีจอแสดงผล 7 นิ้ว ระบบเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold ชุดชาร์จอุปกรณ์ไร้สาย หน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ จอแสดงผลสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เซ้นเซอร์ช่วยจอด และระบบแสงไฟสร้างบรรยากาศ