ใครที่เป็นสายไอที ไม่ว่าจะทั้ง iPhone หรือ Samsung หรือบริษัทเครื่องใช่ไฟฟ้าต่าง ๆ อาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่าบริษัทไอทีชั้นนำของโลก ได้มีการพัฒนารถยนต์ออกมา
เรามาดูกันว่า มีค่ายไหนบ้างที่หันมาพัฒนารถยนต์เป็นของตัวเองกัน แต่ละคันมีอะไรเด่น ๆ บ้าง
ใครที่เป็นสายไอที ไม่ว่าจะทั้ง iPhone หรือ Samsung หรือบริษัทเครื่องใช่ไฟฟ้าต่าง ๆ อาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่าบริษัทไอทีชั้นนำของโลก ได้มีการพัฒนารถยนต์ออกมา
เรามาดูกันว่า มีค่ายไหนบ้างที่หันมาพัฒนารถยนต์เป็นของตัวเองกัน แต่ละคันมีอะไรเด่น ๆ บ้าง
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2020 ทาง Sony ได้เผยโฉมรถต้นแบบที่มีชื่อว่า VISION-S ซึ่งเป็นรถที่สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงความสามารถทางเทคโนโลยีของอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของ Sony สามารถพัฒนามาให้ใช้กับยานยนต์ได้
จริง ๆ ก็ไม่ใช่รถที่จะทำมาขายเร็ว ๆ นี้ แต่จุดประสงค์คือการขายเทคโนโลยีให้กับบริษัทรถยนต์ ที่ใช้กับการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ความปลอดภัย ระบบการสื่อสาร ความบันเทิง
ในอนาคต นอกจากผลิตส่งให้บริษัทรถยนต์แล้ว อาจขยายผลเป็นผู้ผลิตต้นทางให้กับซัพพลายเออร์รายใหญ่อีกที หรือจับมือกับบริษัทอื่น ๆ เพื่อผลิตรถขายภายใต้แบรนด์ตนเอง
ขุมพลังขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แยกชุดขับเคลื่อนสำหรับล้อคู่หน้า/หลัง ให้กำลังตัวละ 200kW ขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วงล่างแบบถุงลม ควบคุมด้วยไฟฟ้า เป็นแบบดับเบิลวิชโบนทั้งหน้าและหลัง
ยางหน้าขนาด 245/40R21 ยางหลัง 275/35R21 สมรรถนะเคลม 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จุดเด่นของ Platform นี้คือ ฐานล้อที่ยาวมาก สามารถนำไปดัดแปลงเข้ากับตัวถังรถได้หลายแบบ ระบบขับเคลื่อนและซอฟท์แวร์ควบคุมในจุดต่างๆของรถ รองรับการสื่อสารผ่านเทคโนโลยี 5G รวมถึงการอัปเดตแบบ Over-the-air อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่ง ปลอดภัยสูง
สำหรับภายใน จะชูจุดเด่นที่เครื่องเสียงแบบ 360 องศา ที่ได้รับเสียงจากทุกมุม สามารถปรับให้เล่นเฉพาะโซนก็ได้ จอพาดยาวตั้งแต่คนขับถึงผู้โดยสาร ด้านหลังก็ยังมีจอแยกให้ สามารถควบคุมได้ผ่านแอพพลิเคชั่น
นอกจากจะเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแล้ว Xiaomi ยังได้เปิดตัวรถ SUV ภายใต้ Redmi โดยได้รับความร่วมมือจาก Bestune ซึ่งเป็นบริษัทลูกของหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน
จุดเด่นของรถยนต์คันนี้คงจะเป็น XiaoAI ซึ่งเป็นระบบ AI ที่มาในรูปแบบของโฮโลแกรม 3 มิติ เป็นVirtual Assistant คล้ายกันกับ Siri ของ Apple
สั่งการด้วยระบบเสียง เช่น ตอบคำถามเรื่องการขับขี่บนท้องถนน วางแผนการเดินทาง หรือช่วยควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เป็นของ Xiaomi และเชื่อมต่อด้วย Mi Home
Xiaomi ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องมือถือ แต่ยังเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้า IoT ( Internet of Things ) คือ การที่อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยง หรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเตอร์เนท ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
Bestune T77 เป็น Compact ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ผลิตและจำหน่ายเฉพาะในจีน ตัวถังที่มีเส้นสายโฉบเฉี่ยว ไฟหน้า และไฟท้ายเป็น LED ห้องโดยสารตกแต่งให้ดูล้ำสมัย ด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่
ส่งกำลังด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.2 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิด 203 นิวตันเมตร มีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 7 จังหวะ
มาพร้อมระบบช่วยการขับขี่มากมาย ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบ Hill Start Assist ป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบตรวจสอบความดันลมยางอัตโนมัติ และระบบ Brake Assist ช่วยเสริมแรงเบรคในจังหวะฉุกเฉิน, เบรคมือไฟฟ้า
ระบบ Automatic Parking System ช่วยถอดจอดอัตโนมัติ, ระบบ Blind Spot Assist และระบบ Panoramic Camera สำหรับเพิ่มความกว้างของมุมกล้อง
โดยรุ่น Bestune T77 Xiaomi Edition มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 89,800 หยวน (4.3 แสนบาท) จนถึง 134,800 หยวน (6.5 แสนบาท)
รถยนต์ไร้คนขับ Waymo เป็นบริษัทลูกของ Google วิ่งอยู่ใน Phoenix, Arizona ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรถแท็กซี่วิ่งรับส่งผู้โดยสารได้จริง ๆ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่หลังพวงมาลัย
ซึ่งได้เริ่มพัฒนากันมาตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ Google ในชื่อ Google Self-Driving Car และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Waymo หลังจากที่แยกตัวออกมาจาก Google เพื่อพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเพียงอย่างเดียว
ก่อนหน้านี้ Waymo ได้ปล่อยให้รถไร้คนขับคันนี้วิ่งไปเองเรื่อยๆในเขตตัวเมือง โดยมีพนักงานคอยนั่งอยู่ที่เบาะคนขับเพื่อกดปุ่มหยุดฉุกเฉินหากมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งเคยทดลองให้นั่งฟรีมาแล้ว แต่ยังไม่พบปัญหาอะไร
ภายในรถจะมีปุ่ม 4 ปุ่ม ให้ผู้โดยสารกดได้ ปุ่ม Help สำหรับติดต่อกับคอลเซ็นเตอร์ของ Waymo, ปุ่มล็อคและปลดล็อคประตู, ปุ่ม Pull Over สำหรับให้รถจอดข้างทาง และปุ่มสุดท้าย Start Ride เมื่อพร้อมจะออกรถ
ในรถยังมีหน้าจอด้านหลังของที่พิงหัวของเบาะหน้า สำหรับแสดงแผนที่ 3 มิติ มีภาพกราฟฟิคของรถคันอื่น รถจักรยาน หรือคนที่อยู่รอบๆตัวรถแบบเรียลไทม์ให้ผู้โดยสารได้ดูเพื่อความมั่นใจอีกด้วย
และคาดว่าอีกไม่นาน Waymo จะเริ่มทำให้รถไร้คนขับเหล่านี้กลายเป็นธุรกิจแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารอย่างเต็มตัว และอาจจะขยายออกไปเป็นธุรกิจรถบรรทุกสินค้าไร้คนขับในอนาคต
ย้อนไปเมื่อปี 2014 บริษัท Apple ได้เริ่มต้นโครงการรถยนต์ไร้คนขับ “Project Titan” โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบไร้คนขับเพื่อแข่งกับ Uber และ Tesla
ตอนนั้นค่ายรถหลาย ๆ ค่ายรวมถึงบริษัททางด้านเทคโนโลยีก็ต่างให้ความสนใจ เพราะต่างมองว่ามันจะเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เรื่องราวของรถยนต์ไฟฟ้าของ Apple ก็ค่อย ๆ เงียบไป จนกระทั่งล่าสุด Apple ประกาศเตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ปี 2024
สำหรับเป้าหมายนั้นจะไม่ได้เน้นเพื่อใช้กับบริการแท็กซี่ไร้คนขับเหมือนกับ Waymo ของ Google แต่จะเป็นการพัฒนารถยนต์นั่งของตัวเองเพื่อทำตลาดให้กับลูกค้าบุคคลทั่วไปมากกว่า
หรือก็คือตั้งใจแข่งกับ Tesla เลยทีเดียว ทางด้านแบตเตอรี่ ตามรายงานระบุว่ามันจะเป็นหัวใจสำคัญ โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า Apple จะออกแบบและพัฒนาแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง
เพื่อลดต้นทุนการผลิต แถมยังได้แบตเตอรี่ที่มีระยะทางต่อการชาร์จมากยิ่งขึ้น ส่วนชนิดของแบตเตอรี่ ตอนนี้พวกเขาให้ความสนใจกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ฟอสเฟต (FLP) ที่แม้จะเป็นแบตเตอรี่ลิเทียมแบบเก่า แต่ Apple เชื่อว่ามันมีความปลอดภัยสูงกว่า
แต่ก็ยังติดปัญหาในด้านการผลิต เนื่องจากพวกเขาต้องการเพียงซัพพลายเออร์ ไม่ใช่การนำเอาเทคโนโลยีเข้าไปใส่ในรถ มีข่าวลือว่า Apple ได้มีการคุยกับทั้ง Hyundai Kia Nissan แต่ก็โดนปฎิเสธ
เนื่องจากค่ายรถยนต์ไม่ต้องการแค่ผลิตรถยนต์ตามการสั่งเท่านั้น เพราะพวกเขาก็มีฐานลูกค้าเป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว ก็ต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ได้ผลิตจากค่ายรถยนต์ ก็ยังมีอีกมากมายหลายเจ้า ที่เป็นการช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา ซึ่งพอลองมองดูแล้ว การขายเทคโนโลยีจะเหมาะกันเสียมากกว่า เพราะการตีตลาดรถยนต์ที่มีผู้เล่นยักษ์ใหญ่นั้นมีอยู่มากมาย เป็นเรื่องที่ยาก
อีกทั้งยังมีเรื่องการผลิต บริการหลังการขาย การซ่อมบำรุงที่ต้องคำนึงถึง แต่ถึงอย่างไร ก็ยังน่าติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เราจะได้เห็นกันในอนาคต จากค่ายเหล่านี้ครับ