2021 Mercedes-Benz GLE 350 de (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี) คือหนึ่งในยานยนต์ที่ค่ายรถยนต์ Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) แสนจะภาคภูมิใจ กับความคิดในการนำเครื่องยนต์ดีเซลมาผสมระบบปลั๊กอินไฮบริดเป็นครั้งแรก
การเปิดตัวรถรุ่นนี้ ถือเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของยานยนต์พรีเมียม และถือเป็นครั้งแรกในตลาดรถยนต์เมืองไทยที่ผู้ขับขี่จะได้ใช้รถปลั๊กอินไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลและมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟ
แน่นอนว่านอกเหนือไปจากเรื่องของเครื่องยนต์แล้ว ค่ายรถยนต์ตราดาวได้จัดอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ มาให้อย่างเพียงพอสำหรับการใช้งานที่หรูหราบนท้องถนน และไม่เป็นรองใครเมื่อต้องการรีดสมรรถนะออกมาในทางออฟโรด
AutoFun Thailand มีโอกาสได้ทดลองรถรุ่นนี้ทั้งบนถนน และเส้นทางออฟโรดแบบเบา ๆ มีเอาไปลุยน้ำบ้าง และพบว่านอกเหนือจากความสบายในการใช้งานแล้ว เครื่องยนต์ดีเซลยังคงแสดงความยอดเยี่ยมของตัวเองเหมือนเช่นเดิม
การมีระบบปลั๊กอินมาช่วยเพิ่มระยะทางในการขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนเพิ่มเข้ามา และแน่นอนว่ายังทำให้ราคาของเจ้าปลั๊กอินไฮบริดคันนี้ ถูกลงกว่าเครื่องยนต์ดีเซลเพียงอย่างเดียว แม้จะไม่ได้ชุดแต่งเอเอ็มจีรอบคันที่หายไปก็ตาม
ตารางราคาจำหน่าย GLE 350 de |
GLE 350 de Exclusive |
4.699 ล้านบาท |
ฟูลไซส์เอสยูวี ที่มาพร้อมความแข็งแกร่งบึกบึน
เอสยูวีขาลุยร่างใหญ่ที่สุดของค่ายรถยนต์ตราดาว มาพร้อมขนาดตัวถังบึกบึนกับความกว้าง 2,010 มิลลิเมตร ยาว 4,924 มิลลิเมตร สูง 1,795 มิลลิเมตร พร้อมระยะฐานล้อ 2,995 มิลลิเมตร โดยมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 490 – 1,915 ลิตร
ห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพับเบาะตอนหลังลงแบบเรียบสนิท แม้จะไม่สามารถเปิดพื้นห้องเก็บสัมภาระเพื่อเก็บสายชาร์ตได้ แต่ก็มีการออกแบบกระเป๋าเก็บสายไฟมาอย่างสวนงามลงตัว พกพาไปไหนได้ไม่เกะกะเท่าไหร่
มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED High Performance ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟเบรก ไฟท้าย ไฟเดย์ไทม์สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันและไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบแอลอีดีทั้งหมด ระบบไฟส่องทางใต้กระจกมองข้างเป็นรูปโลโก้ตราดาว
กระจกมองข้างปรับระดับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ระบบกุญแจ Keyless-Go ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้าอัตโนมัติ บันไดข้างสแตนเลสดีไซน์สปอร์ตที่ดูแคบไปเล็กน้อย
ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ขนาด 20 นิ้ว มาพร้อมอุปกรณ์ปะยางแบบฉุกฉิน แผ่นรองกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง และระบบเสียงจำลองขณะขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมย้ายตำแหน่งที่ชาร์จไฟจากกันชนหลังไปไว้ที่ด้านซ้ายของตัวรถ
มิติตัวถัง GLE 350 de |
กว้าง |
2,010 มิลลิเมตร |
ยาว |
4,924 มิลลิเมตร |
สูง |
1,795 มิลลิเมตร |
ระยะฐานล้อ |
2,995 มิลลิเมตร |
ห้องเก็บสัมภาระ |
490-1,915 ลิตร |
ภายในสวยเนี๊ยบ เพียบด้วยอุปกรณ์
การตกแต่งห้องโดยสารภายในให้บรรยากาศของความเป็นรถยนต์หรูหรา ด้วยการตกแต่งหนัง Artico บนคอนโซลหน้าและด้านบนของแผงประตู พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa พร้อมตกแต่งทั่วห้องโดยสารด้วยโครเมียม
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ Dynamic Select แสดงผลบนหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.35 นิ้ว เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมบันทึกความจำ ส่วนเบาะแถวที่สองพับได้แบบ 40:20:40 ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน
ระบบควบคุมและสั่งงานด้วยทัชแพด และช่อง USB-C ที่เบาะคู่หน้าจำนวน 3 ช่อง และเบาะหลังจำนวน 2 ช่อง เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Andriod Auto แถมยังชาร์จไฟได้ไวอีกต่างหาก
เพิ่มความสะดวกสบายของผู้โดยสารตอนหลังด้วยม่านบังแดดที่ใช้งานเพียงกดปุ่ม มาพร้อม Mercedes-Benz User Experience (MBUX) ที่สามารถจดจำและเรียนรู้การสั่งงานด้วยเสียงของผู้ใช้ผ่านระบบ AI ด้วยคำสั่ง Hey Mercedes
รวมไปถึงแอปพลิเคชัน Mercedes me ทำให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับรถคันนี้ผ่านสมาร์ทโฟนได้จากทุกมุมโลก พร้อมระบบที่ยกระดับความสะดวกสบายในการใช้งาน เช่น การเปิดระบบปรับอากาศและสตาร์ทรถยนต์ด้วยโทรศัพท์มือถือ
เครื่องยนต์คือหัวใจสำคัญในการพัฒนารถคันนี้
รถรุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 4 วาล์วต่อสูบ พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2-stage และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 194 แรงม้าที่ 3,800 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600 – 2,800 รอบต่อนาที
เครื่องยนต์ทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 100 กิโลวัตต์หรือ 136 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย ผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะสามารถเบ่งพละกำลังสูงสุดรวม 320 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ทำให้รถสามารถวิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.8 วินาที ถือว่าไวมากสำหรับรถไซส์นี้
ตามสเปกแล้วจะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถวิ่งได้ด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนที่ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ระยะทางไกลสุด 100 กิโลเมตรตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้
จุดเด่นของรถอยู่ที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำเพียง 2.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 43.4 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าประหยัดที่สุดรุ่นหนึ่งในท้องตลาด ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของการใช้งานเครื่องยนต์ดีเซลที่ผสานกับไฮบริดอย่างลงตัว
รายละเอียดทางเทคนิค GLE 350 de |
เครื่องยนต์ |
ดีเซล ปลั๊กอินไฮบริด |
ความจุ |
1,950 ซี.ซี. |
กำลังสูงสุด |
194 แรงม้า |
แรงบิดสูงสุด |
400 นิวตันเมตร |
กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า |
136 แรงม้า |
แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้า |
440 นิวตันเมตร |
กำลังรวมสูงสุด |
320 แรงม้า |
แรงบิดรวมสูงสุด |
700 นิวตันเมตร |
0-100 กม./ชม. |
6.8 วินาที |
ความเร็วสูงสุด |
210 กม./ชม. |
อัตราสิ้นเปลือง |
43.4 กม./ลิตร |
มาพร้อมระบบด้านการขับขี่แบบครบครัน
GLE 350 de 4MATIC มาพร้อมระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันแบบครบครัน ตั้งแต่ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทาง ระบบแจ้งเตือนขณะเปิดประตูรถ พร้อมระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ
พร้อมด้วยระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะ ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก และเตือนแรงดันลมยาง
ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่น Hold และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบรักษาความเร็วและจำกัดความเร็ว พร้อมด้วยระบบช่วยเตือนการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ แถมยังติดตั้งระบบความปลอดภัยเชิงปกป้องมากมายรอบคัน
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยหัวเข่า รวมทั้งหมด 11 ตำแหน่ง พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง รวมถึงระบบแจ้งเตือนสถานะเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
ระบบช่วงล่างที่สามารถโหลดให้รถคันนี้เตี้ยลงได้อีก 15 มิลลิเมตร และยังมาพร้อมระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ และกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด แม้จะไม่มีกล้องรอบคันหรือชุดแต่งเอเอ็มจีก็ถือว่าครบครันอยู่แล้ว
ความดีงามของเครื่องยนต์ดีเซลและไฮบริด บนพื้นฐานขาลุย
ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่ผมชอบที่สุดในรถคันนี้ ก็ต้องบอกว่าการตัดสินใจเลือกเครื่องยนต์ดีเซลมาจับคู่กับระบบไฮบริดนั้น ทำให้สมรรถนะของรถในภาพรวมนั้นไม่ได้ดรอปลงไป ไม่ว่าจะมีไฟฟ้าเหลือในแบตเตอรี่หรือไม่ก็ตามสำหรับรถคันนี้
โดยปกติรถปลั๊กอินไฮบริดที่เป็นเครื่องยนต์เบนซินนั้น จะมีปัญหาเมื่อไฟฟ้าหมดไปจากตัวรถ ด้วยสมรรถนะของรถนั้นจะหายไปมาก แถมอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นมาเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในรถไซส์ใหญ่ระดับนี้
การแก้ปัญหานี้ด้วยการเลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซลซึ่งมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องของแรงบิดสูงและการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม จึงเป็นทางออกที่ดีในการพัฒนา โหมดไฟฟ้าก็ทำหน้าที่ไป พอไฟหมดก็ไม่ใช่ปัญหาในการนำรถไปใช้ต่อได้ฉลุย
อัตราเร่งที่เราทำการทดสอบกันได้อยู่ที่ประมาณ 7 วินาทีนิด ๆ ในโหมดสปอร์ต แต่ในโหมดดีเซลล้วน ๆ หรือโหมดไฟฟ้าล้วน ๆ ก็ไม่ได้แตกต่างมาก เมื่อต้องเดินทางไกลด้วยความเร็วปานกลางถึงสูง รถให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยมในทุกย่าน
ช่วงล่างนั้นเซตอัพมาอย่างลงตัว ออกแนวนุ่มนิด ๆ แบบเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้โดยสารตอนหน้าอาจจะรับรู้ถึงอาการโยนตัวเล็ก ๆ ได้ เนื่องจากความสูงของรถ แต่ห้องโดยสารตอนหลังนั้นนั่งได้อย่างสบายใจหายห่วง ลงไปทางลุยก็ไม่หวาดหวั่น
สิ่งที่ทำให้อาจจะขัด ๆ กับการใช้งานบ้างก็พวกระบบการขับขี่หลาย ๆ อย่างที่ต้องไปเลือกผ่านหน้าจอกลางทั้งหมด ซึ่งบางทีก็หาไม่เจอ บางทีกว่าจะหาเจอก็ไม่ได้อยากใช้งานแล้ว อันนี้เป็นปัญหาของรถใหม่หลาย ๆ รุ่นที่เราเจอมาเลย
ตำแหน่งการนั่งของรถนั้นดีมาก แต่ผู้โดยสารและผู้ขับขี่อาจจะต้องออกแรงในการปีนขึ้นไปบนรถคันนี้สักเล็กน้อย กาบบันไดข้างที่ไม่ได้เป็นปัญหาของผม แต่ดูเหมือนผู้สูงวัยจะมองว่ามันแคบไปสักหน่อย และต้องระวังมากขึ้นในการใช้งาน
เป็นรถที่คุณสามารถใช้งานมันบนท้องถนนได้อย่างสบายใจในทุกย่านความเร็ว โดยไม่ต้องไปใส่ใจมากว่าไฟจะหมดไหม ต้องหาที่ชาร์ตหรือเปล่า เพราะแค่มีน้ำมันเต็มถังไว้ ระยะทางวิ่งของรถคันนี้นั้นปลอดภัยหายห่วง ไม่ต้องกินข้าวลิงแน่
แต่ถ้าใครอยากได้ชุดแต่งเอเอ็มจีแบบเต็มคัน ก็ต้องหันไปคบหากับเครื่องยนต์ดีเซลล้วน ๆ แบบไม่มีไฟฟ้า แถมสนนราคายังแพงกว่าอีกนิดหน่อย แต่ก็ได้อุปกรณ์เพิ่มมากขึ้นหลายรายการ อันนี้ต้องไปเปรียบเทียบกันเองว่าชอบแบบไหน
Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ที่เน้นการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยไม่ให้สูญเสียความเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ตลอดการเดินทางในทุกช่วงเวลาของชีวิต
และก็เป็นออพชั่นที่ทำให้ผู้ที่จะตัดสินใจซื้อรถเอสยูวีรุ่นใหญ่ อาจจะต้องคิดหนักว่าจะเอาเครื่องยนต์ดีเซลล้วน ๆ หรือจะไปคบหากับเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดแบบเต็มรูปแบบแทนดีกว่ากัน เอาจริง ๆ คันไหนก็ได้ จ่ายไหวก็ซื้อเลย!!!