2019 Mercedes-Benz GLA 200 Urban (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ 200) มาพร้อมคำนิยาม “รถยนต์ออฟโรดที่มีความสปอร์ตมากที่สุดในบรรดารถยนต์ประเภทเดียวกัน”
นิยามดังกล่าวถูกระบุไว้ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Mercedes-Benz ในประเทศไทย ถึงแม้คงจะมีน้อยคนนักที่จะนำรถยนต์นั่งครอสโอเวอร์พรีเมียมรุ่นนี้ไปลุยทางออฟโรด แต่ก็เน้นย้ำให้เห็นว่าค่ายรถยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีต้องการเน้นย้ำคุณสมบัติสำคัญ นั่นคือ การรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ
GLA-Class รุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นที่ 2 ได้รับการเผยโฉมออกสู่ตลาดโลกแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ในบ้านเรายังคงจำหน่ายเจนเนอเรชั่นที่ 1 อยู่ในปัจจุบันด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้น 1,999,000 บาทที่ทำให้ GLA 250 มีความน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
มิติตัวถัง
Mercedes-Benz GLA 200 Urban |
ความยาว |
4,424 มม. |
ความกว้าง |
1,804 มม. |
ความสูง |
1,495 มม. |
ระยะฐานล้อ |
2,700 มม. |
น้ำหนักรถเปล่า |
1,435 กก. |
ปริมาตรห้องสัมภาระ |
421-1,235 ลิตร |
ไฮไลท์
GLA มีชุดอุปกรณ์ให้เลือก 2 สไตล์ คือ Urban เพิ่มรูปลักษณ์สวยงามแบบสปอร์ต อย่างการติดตั้งปลอกปลายท่อไอเสียหรือล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว เบาะนั่งแบบสปอร์ตและพวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมพื้นผิวหนังปรุ ขณะที่ AMG Line ซึ่งมีราคาจำหน่ายสูงกว่าหลายแสนบาทจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากกว่า ตลอดจนการเพิ่มความพิเศษด้วยการตกแต่งแบบ AMG ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาและพวงมาลัยแบบสปอร์ต
การออกแบบภายนอก
2019 Mercedes-Benz GLA 200 Urban มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED High Performance ไฟเดย์ไลท์ LED ในกรอบไฟหน้า ไฟส่องสว่างอัตโนมัติ ส่วนไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 เป็น LED ทั้งหมด กระจกมองข้างปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า กระจกมองข้างและกระจกส่องหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ ราวหลังคาอลูมิเนียม ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านขนาด 18 นิ้ว หุ้มด้วยยาง 235/50 R18
รูปลักษณ์ภายนอกของ GLA 200 Urban ถือว่าลงตัว ผสมผสานความทันสมัย สปอร์ตปราดเปรียว และแฝงความบึกบึนได้อย่างโดดเด่น น่าเสียดายที่รุ่น GLA 200 Urban ไม่มีหลังคาพาโนรามิกซันรูฟมาให้เหมือนกับรุ่น GLA 250 AMG Dynamic
สีสันภายนอกมีให้เลือก 4 สีคือ สีดำ Cosmos Black สีขาว Cirrus White สีเงิน Polar Silver และสีเทา Mountain Grey
การออกแบบภายใน
เบาะนั่งหุ้มหนัง Artico เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังพับแยกส่วน 60:40 พร้อมปรับองศาพนักพิงได้ มีที่วางแขนสำหรับเบาะหลัง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น มีไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารหรือไฟแอมเบียนท์แบบ 12 สี พร้อมแผ่นปิดสัมภาระด้านท้าย
ภายในห้องโดยสารมีสีเบจ ARTICO Sahara Beige และสีดำ ARTICO Black ให้เลือกสรร
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย
- เบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ
- ฟังก์ชัน ECO start/stop
- วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 พร้อมจอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว
- ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC
- ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start)
- ระบบสำหรับเชี่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth)
- รองรับการใช้งานระบบนำทาง (Pre-installation SD-Card Navigation)
- ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบ Apple CarPlay และ Android Auto
- ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
ระบบความปลอดภัย
- ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง ประกอบด้วยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ
- โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control)
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system)
- ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist
- ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive brake light)
- ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist)
- ระบบรักษาระดับความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
- ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator)
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง (tyre pressure loss warning system)
- ยางรถยนต์ Run-flat tyres
- ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
ระบบขับเคลื่อน
Mercedes-Benz GLA 200 Urban ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง 4 วาล์วต่อสูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 1.6 ลิตร หรือ 1,595 ซีซี พละกำลังสูงสุด 156 แรงม้าที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,250 – 4,000 รอบต่อนาที ประกบกับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT แบบ 7 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
Mercedes-Benz เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม.ต่อชม. ไว้ที่ 8.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 215 กม.ต่อลิตร
สมรรถนะการขับขี่และความสะดวกสบาย
เทคโนโลยีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาดกะทัดรัดของ Mercedes-Benz ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้วและ GLA 200 Urban ก็เช่นเดียวกัน ขุมพลัง 1.6 ลิตร เทอร์โบรุ่นนี้ให้สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนานพอตัว ไม่ได้มีอัตราเร่งชนิดกระชากใจ แต่ก็ตองสนองได้ดีตั้งแต่ออกตัว
เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดถ่ายทอดพละกำลังได้อย่างไหลลื่นและต่อเนื่อง แรงบิดตั้งแต่ 1,250 รอบต่อนาทีทำให้ปราศจากอาการรอรอบในช่วงออกตัวและการเร่งแซงในความเร็วต่ำ ขณะเดียวกัน เรี่ยวแรงยังมีให้ใช้ไปจนถึงความเร็วปานกลางบนทางด่วนและการควบทะยานทางไกลบนถนนต่างจังหวัดได้อย่างค่อนข้างเหลือเฟือ
ถึงแม้ตัวถังจะถูกยกสูงสไตล์รถครอสโอเวอร์แต่ก็อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอเจาะ ไม่มีปัญหาด้านการยึดเกาะถนน อาการโยนตัวที่ความเร็วสูงมีน้อย การขับขี่ด้วยความเร็วปกติให้ความมั่นใจอย่างมาก ช่วงล่างนุ่มนวลและมั่นคง พวงมาลัยมีกระชับมือและมีน้ำหนักความหนืดพอสมควรตามสไตล์รถยุโรป
เบาะทุกที่นั่งมอบความสะดวกสบาย แต่ผู้โดยสารที่ขายาวหน่อยอาจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อต้องนั่งเบาะหลังนาน ๆ
อัตราความประหยัดน้ำมัน
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ GLA 200 Urban อยู่ที่ประมาณ 13 – 14 กม.ต่อลิตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน
สรุป
ราคาจำหน่ายที่ไม่ถึงหลัก 2 ล้านบาททำให้ Mercedes-Benz GLA 200 Urban คือความฝันที่หลายคนสามารถทำให้เป็นจริงได้ในการครอบครองรถ Mercedes-Benz สักคัน ถึงแม้ตัวถังจะมีขนาดเล็กแต่ก็ครบครันอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการใช้งานและมีขุมพลังเทอร์โบที่ตอบสนองทุกเส้นทางได้เป็นอย่างดี
จุดเด่นของ GLA 200 Urban คือการขับขี่ที่ค่อนข้างสนุก ฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่เพียบพร้อม ไปจนถึงความภูมิฐานและบุคลิกของตัวรถแบบยุโรป แต่จุดด้อยคือห้องโดยสารที่คับแคบอันเนื่องมาจากการเป็นน้องเล็กสุดของค่ายรถตราดาว
ขณะเดียวกัน ลูกค้าที่กำลังพิจารณาจับจอง GLA เจนเนอเรชั่นปัจจุบันอาจต้องติดตามข่าวการเปิดตัว All-New GLA รุ่นใหม่ในเมืองไทยด้วย เพราะมีรายงานว่ากำลังจะเข้าทำตลาดบ้านเราในเร็ว ๆ นี้ โดย All-New GLA รุ่นใหม่มีตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารกว้างขึ้น และทันสมัยกว่าเดิม แต่แน่นอนว่าราคาจำหน่ายก็น่าจะขยับขึ้นตามไปด้วย