'รถแลกแจกแถม' ส่อแววล่มปากอ่าว หลังก.อุตสาหกรรมชะลอโครงการไม่มีกำหนด

โครงการรถยนต์เก่าแลกรถใหม่ของกระทรวงอุตสาหกรรมส่อแววล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่มโครงการ เมื่อรมว.อุตสาหกรรมได้ชี้แจงที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (1 ธันวาคม 2563) ว่าขอชะลอโครงการออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุว่ายังมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับโครงการนี้ในภาพรวมอีกจำนวนมากก่อนตัดสินใจ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์นี้ มีความน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อมีกระแสข่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมที่จะยื่นเรื่องเพื่อเสนอขออนุมัติโครงการรถแลกแจกแถม หรือการนำรถยนต์เก่าอายุมากกว่า 12 ปี มาใช้ในการแลกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยจะนำค่าใช้จ่ายไปหักภาษีมูลค่าสูงสุดไม่เกินคนละ 1 แสนบาทต่อราย ตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

แม้จะเป็นโครงการที่น่าสนใจ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้งานารถยนต์เก่า ที่ก่อให้เกิดมลภาวะบนท้องถนน รวมถึงจะยังเป็นการกระตุ้นตลาดช่วงสุดท้ายของปี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจกับผู้บริโภคเช่นเดียวกัน และเพื่อป้องกันการสับสน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ชะลอโครงการดังกล่าวไปก่อน

หวั่นผู้บริโภคสับสน-ชะลอการตัดสินใจซื้อรถ

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ได้มีการให้ชะลอโครงการรถแลกแจกแถมออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากมีรายละเอียดมากที่้ต้องปรึกษาหารือจำนวนมาก ทั้งผู้ประกอบการรถยนต์ และกระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ

"ว่ารถที่จะเข้าร่วมโครงการจะเป็นรถแบบใด รวมถึงจำนวนที่จะให้แลกที่เหมาะสมจำนวนควรเป็นกี่คัน จึงขอให้ชะลอออกไปก่อน จนกว่าจะได้ข้อสรุปในเบื้องต้น และพูดคุยถึงผลกระทบ โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ประกอบการรถยนต์ และจะทำให้ประชาชนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ตอนนี้ไม่เกิดความสับสนจนเกิดการชะลอซื้อ"

ทั้งนี้ ประชาชนที่ต้องการซื้อรถยนต์ขณะนี้ สามารถที่จะพิจารณาข้อเสนอของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงโครงการรถเก่าแลกรถใหม่อีกต่อไป เพราะโครงการรถเก่าแลกรถใหม่จะไม่ออกมาภายใน 1 หรือ 2 วัน นี้อย่างแน่นอน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการชะลอโครงการนี้ออกไป โดยเสนอให้ที่ประชุม ครม. รับทราบแล้ว

โครงการไม่ชัดขัดตลาดโต แถมได้ยากกว่าโปรโมชั่น

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศชะลอโครงการดังกล่าวออกไปไม่มีกำหนดนั้น ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างคึกคักในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความไม่ชัดเจนของทางภาครัฐ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูขายรถยนต์พอดี

เนื่องจากหากประชาชนลังเลว่าจะได้รับเงินชดเชยในกรณีต่าง ๆ ก็อาจที่จะตัดสินใจชะลอการตัดสินใจซื้อรถเอาไว้ก่อน เพื่อรอให้รัฐบาลออกมาประกาศแนวทางอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงนี้ มีการจัดงานมหกรรมยานยนต์กระตุ้นกำลังซื้อช่วงปลายปีอยู่ หากรัฐบาลยังคลุมเครือก็จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีการติงกันว่าด้วยเงื่อนไขที่รัฐบาลเสนอแนวทางการพิจารณาช่วยเหลือมาในการได้เงินคืนสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท แต่ต้องไม่เกิน 3% ของราคารถนั้น หากผู้บริโภคต้องการเงินคืนเต็มจำนวนก็อาจจะต้องซื้อรถยนต์เป็นมูลค่าสูงถึง 3 ล้านบาท ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้างของประเทศไทยแน่นอน

รวมไปถึงการที่มีผู้ประกอบการบางรายออกมาระบุว่ารัฐบาลเองควรที่จะพิจารณาในหลาย ๆ เรื่องให้รอบด้านกว่านี้ เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้อยู่ในภาวะชะลอตัวเหมือนที่ผ่านมา แต่หากต้องการสนับสนุนจริง ก็ควรที่จะมองเรื่องของการคืนผลประโยชน์ให้ผู้บริโภคแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่านี้มากกว่า

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นในเรื่องของรถยนต์ที่จะเข้าร่วมโครงการที่มีการเสนอว่ารัฐบาลควรจะเปิดกว้างให้รถยนต์ประเภทอื่น ๆ เข้าร่วมด้วยหรือไม่ แทนที่จะเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าที่ผ่านมากระแสคัดค้านโครงการนี้ก็มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจถอยไปล่าสุด