MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี) รถยนต์ปลั้กอินไฮบริด คันใหม่จากค่ายเอ็มจี โดยจะเป็นรถปลั้กอินไฮบริดรุ่นแรกของ MG ที่นำเข้าประเทศไทย เป็นการนำเข้าวัสดุจากจีนและประกอบในไทย จึงเป็นสเปคเดียวกันกับอังกฤษ ที่ภายนอกคล้ายตัวธรรมดาทุกอย่าง รวมถึงระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น MG Pilot ระบบช่วยเบรก, เตือนวัตถุด้านหลัง, Adaptive cruise control, เตือนกันชนด้านหน้า, ระบบช่วยเปลี่ยนเลน และระบบเตือนจุดอับ มาพร้อมกล้องมองภาพ 360 องศา
วันนี้เราจึงรวบรวม 10 อย่างที่ต่างไปจากเดิม หลังจากที่ทดลองขับมาแล้ว
1. เครื่องยนต์จี้ดจ้าด
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร พ่วงเทอร์โบ 169 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีพละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ EDU Gearbox .ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 16.5 kW (กิโลวัตต์)
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังรวมสูงสุด 291 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. หากวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสุด 75 กิโลเมตร
2. ล้อลายใหม่
รุ่นปลั้กอินไฮบริด ได้ล้อลายใหม่คล้ายกิ่งไม้ พร้อมสีเทากันเมทัลลิกปัดเงาเพิ่มความสวยงาม แต่ขนาดล้อยังเป็นสเปคเดิม เป็นจุดต่างเดียวที่เห็นชัดเจนจากภายนอก
3. ที่ชาร์จด้านขวา
เพิ่มช่องชาร์จไฟด้านขวา แยกจากที่เติมน้ำมันด้านซ้าย ให้การชาร์จเร็ว 4 ชั่วโมงเท่านั้น และมีสายชาร์จฉุกเฉินเสียบไฟบ้าน ใช้เวลาประมาณ 5.5 ชั่วโมง ผ่านการทดสอบมาตรฐานในการป้องกันน้ำและฝุ่น ทำให้มั่นใจในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์คันนี้ได้เป็นอย่างดี
4. เกียร์ชุดใหม่
ใช้เป็นเกียร์ชุดใหม่ 10 สปีด EDU (Electronic Drive Unit) แบบไฟฟ้า ที่มีความนิ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ ไม่รู้สึกถึงความกระตุกในโหมดขับขี่ธรรมดา
5. มาตรวัด และจอแสดงผลเพิ่มการแสดงผล
มาตรวัดหน้าคนขับ และจออินโฟกราฟิกกลางคอนโซล เพิ่มการแสดงผลของการใช้งานพลังไฟฟ้า และแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ พร้อมระยะทางที่ใช้ได้ และเปลี่ยนกราฟิกที่ดีกว่าเดิม
6. ภายในสุดล้ำ
เปลี่ยนด้ามเกียร์ใหม่ ที่ออกแบบตำแหน่ง P ให้อยู่ตรงหัวเกียร์ แทนที่แบบคันโยกเก่า เบาะแบบเดิม แต่เพิ่มสีขาว-กรมมาให้ มีให้เฉพาะตัวถังสีขาวเท่านั้น ส่วนตัวถังสีดำมีภายในเป็นสีดำล้วน
7. ลำโพงBOSE
ระบบเครื่องเสียงให้ลำโพง Bose ใหม่รอบคัน เพิ่มสุนทรีย์ในการขับขี่ด้วยเสียงที่คมชัด พร้อมใส่ซับวูฟเฟอร์ให้เสียงเบสตึ้บกว่ารุ่นเดิม ฝังอยู่ห้องสัมภาระท้าย
8. ช่วงล่วงเซตมาใหม่
ด้วยรถยนต์ที่มีน้ำหนักมากขึ้นจากแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้ต้องมีการเซตช่วงล่างใหม่ ให้เกาะถนนและนิ่งกว่าเดิม พร้อมผ้าเบรกใหม่ให้หนึบขึ้นอีก เพื่อหยุดกำลังม้าฝูงใหญ่
9. ตรา PHEV ด้านหลัง
จากเดิมเป็นชื่อรุ่นกับตรา i-Smart เท่านั้น พอเป็นตัวใหม่เพิ่มตรา PHEV สีน้ำเงินขอบโครเมียม ต่อท้ายตรงคำว่า HS ด้านหลัง เพื่อแยกความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน
10. ก้านปรับเบาะหลัง(Lumbar Support)
มีก้านปรับเบาะหลังที่ตัวท้อปของรุ่นธรรมดาไม่มีมาให้ ผลคือการรองรับกระดูกสันหลัง เพิ่มความสบายในการนั่งไปอีก
แบงค์ให้ 3 คำ: ”รอ ฟัง ราคา”
ณ ตอนนี้เราได้รู้ถึงทุกอย่างเกี่ยวกับรถแล้ว ลองขับก็แล้ว เหลือก็แต่เปิดราคาให้ฟังอย่างเป็นทางการกันในวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ที่งาน Fast Auto Show Thailand 2020 ส่วนใครอยากเข้าไปชมคันจริง สามารถเข้าไปที่งานในวันที่ 28 ตุลาคมกันได้เลย