บริษัทรถยนต์ระดับโลกกำลังลงทุนมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ แต่อาจไม่ได้ผลกำไรในการดำเนินธุรกิจระยะสั้นและระยะกลางจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
สำนักข่าว Reuters รายงานว่าตัวเลขที่บริษัทรถยนต์ลงทุนไปนั้นอาจรวมกันสูงถึง 5.15 แสนล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 16 ล้านล้านบาท สูงขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับการสำรวจเม็ดเงินลงทุนเมื่อปี 2018 ซึ่งอยู่ที่ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทรถยนต์ต้องทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลคือกฎข้อบังคับด้านมลพิษที่มีความเข้มงวดมากขึ้น และการคาดการณ์ถึงความต้องการใช้งานของผู้บริโภคที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคตระยะยาว
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเหมือนสงครามเย็น
เม็ดเงินลงทุน 16 ล้านล้านบาทข้างต้นครอบคลุมระยะเวลาในการพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าความต้องการซื้อของผู้บริโภคอาจไม่เติบโตสอดรับกับการลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวหากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐหรือการลงทุนขยายเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จไฟที่ครอบคลุม
ไบรอัน แม็กซิม หัวหน้านักวิเคราะห์ของสถาบัน AutoForecast Solutions เปรียบเทียบการลงทุนวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเหมือนกับการทำสงครามเย็น
“เมื่อมี 2-3 บริษัทประกาศนโยบายการสร้างรถยนต์ไฟฟ้า ทุกบริษัทก็จะต้องทำตามเนื่องจากไม่อยากถูกผู้บริโภคมองว่าล้าหลัง” แม็กซิม กล่าว “นั่นทำให้หลายบริษัทต้องลงทุนโดยไม่แน่ใจว่าลูกค้าจะยอมรับและซื้อรถของพวกเขาหรือไม่ในอนาคต ทำให้แทบจะไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ในอีกหลายปีข้างหน้า”
หลายประเทศมีแนวคิดริเริ่มการห้ามใช้รถเครื่องยนต์สันดาปในประเทศ ตั้งแต่สิงคโปร์ไปจนถึงสวีเดน รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังผลักดันการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้ถึง 50% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2030
Tesla Inc ผู้ผลิตรถยนต์ EV รายใหญ่ที่สุดในโลก ดูเหมือนจะเป็นบริษัทเดียวที่ขายรถยนต์แทบทุกประเภทที่สามารถผลิตได้ และกำลังเตรียม "โรงงานขนาดใหญ่" ใหม่มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ใกล้กรุงเบอร์ลินและออสติน ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างมากในแต่ละปี ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน บริษัทมีมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ามูลค่ารวมกันของ Volkswagen AG, Toyota Motor Corp, Ford Motor Co และ General Motors Co.
ในกลุ่มบริษัทรถยนต์ระดับโลก Volkswagen Group มีการลงทุนสูงที่สุดที่ 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 หรือเท่ากับ 20% ของการลงทุนทั้งหมดในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ค่ายรถยักษ์เยอรมันเตรียมนำเสนอรถอีวีหลากหลายรุ่นสู่ตลาดยุโรป จีน และอเมริกาเหนือ
การลงทุนของ Volkswagen มุ่งเน้นที่การยกระดับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ขยายระยะทางขับขี่ และลดต้นทุนการผลิตรถอีวี พวกเขายังจะขยายฐานการผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมทั่วโลก
ขณะที่ Daimler และ BMW มีการลงทุนรวมกันอยู่ที่ 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 ส่วน General Motors และ Ford ลงทุนเกือบ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจนถึงปี 2025
ขณะเดียวกัน ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นดูเหมือนจะตามหลังคู่แข่งจากยุโรป-สหรัฐ ด้วยการลงทุนรวมกันของ Toyota, Honda และ Nissan อยู่ที่ไม่ถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });