อากิโอะ โตโยดะ ประธานบริหารของ Toyota เพิ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้า และชี้ว่ารถพลังงานทางเลือกประเภทนี้ไม่ได้มีอนาคตที่สดใสอย่างที่หลายคนเข้าใจ
“ยิ่งเราผลิตรถพลังงานไฟฟ้ามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งปล่อยมลพิษคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเท่านั้น” โตโยดะ กล่าว “เมื่อบรรดานักการเมืองกำลังเตรียมมาตรการแบนห้ามใช้รถเครื่องยนต์เบนซินในอนาคต ผมอยากจะถามว่าพวกเขาเข้าใจตลาดดีแค่ไหน”
การออกมาให้ความเห็นในด้านลบต่อรถอีวีของโตโยดะทำให้หลายคนมองว่าเป็นเพราะ Toyota กำลังตามหลังคู่แข่งในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และรถพลังงานไฟฟ้า แต่ขณะเดียวกัน เราก็อาจมองได้ว่าอนาคตของรถพลังงานไฟฟ้าอาจไม่สดใสอย่างที่คิดจริง ๆ
คำถามคือหัวเรือใหญ่ผู้นี้กำลังทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยวหรือเขาให้คำเตือนที่มีน้ำหนักน่าฟังจริง ๆ
การผลิตรถพลังงานไฟฟ้าสร้างมลพิษมากกว่าจริงหรือ?
เป็นความจริงที่การผลิตรถพลังงานไฟฟ้าจะสร้างมลพิษก๊าซเรือนกระจกมากกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป แต่การศึกษาวิจัยชี้ว่ามลพิษส่วนเกินดังกล่าวจะถูกชดเชยในช่วง 10,000 กม. แรกของการใช้งานรถพลังงานไฟฟ้าเนื่องจากมีมลพิษเป็นศูนย์
ขณะเดียวกัน มลพิษก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตรถพลังงานไฟฟ้าจะลดลงเมื่อบริษัทรถยนต์มีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ก้าวล้ำหน้ามากกว่านี้ และสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่ได้มากขึ้น
ความเห็นของโตโยดะมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศญี่ปุ่น โดยเขาชี้ว่าอุตสาหกรรมนี้จะต้องพังพาบถ้ามีการเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์เบนซินไปสู่รถพลังงานไฟฟ้าเร็วเกินไป เพราะจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศและทำให้ผู้คนนับล้านต้องตกงาน
เขาคาดการณ์ด้วยว่าญี่ปุ่นจะไม่มีไฟฟ้าใช้เพียงพอในช่วงฤดูร้อน ถ้ารถทุกคันบนถนนเป็นรถพลังงานไฟฟ้า และการผลิตกระแสไฟฟ้าก็จะต้องใช้ก๊าซและถ่านหินเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลต่อสภาพแวดล้อมอย่างมาก
สื่อต่างประเทศชี้ว่าการออกมาให้ความเห็นต่อรถอีวีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของโตโยดะนั้นเป็นการตอบโต้นโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่นำโดยนายโยชิฮิเดะ สุงะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดที่เพิ่งส่งสัญญาณว่าจะห้ามใช้รถเครื่องยนต์สันดาปในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือภายใน 2030
ยอดขายลดลง แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น
มีการคาดการณ์ว่าในปี 2020 นี้ตลาดรถยนต์ในภาพรวมจะถดถอยราว 10-15% เลยทีเดียว นักวิเคราะห์ยังประเมินด้วยว่าการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาคือภาพลวงตาหรือภาวะฟองสบู่ที่อาจแตกโพละได้เพราะผลกระทบของ Covid-19 จะกินเวลายาวนานไปจนถึงปี 2021 ทำให้ยอดขายรถยนต์ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
นั่นหมายความว่าบริษัทรถยนต์จะมีรายได้ลดลง แต่ต้นทุนการวิจัยและพัฒนารถพลังงานไฟฟ้ายังคงพุ่งสูงแบบติดจรวด
และท่ามกลางการรณรงค์ด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รัฐบาลของชาติยักษ์ใหญ่จากโตเกียวถึงลอนดอนและสหภาพยุโรปเห็นพ้องกันว่าจะต้องลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมลง แต่โตโยดะชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่พร้อมที่จะนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าที่มีราคาย่อมเยาและเข้าถึงได้ในวงกว้าง รวมถึงการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งานของผู้บริโภคทั่วไป
ความเห็นที่แสดง “ความกังวล” ของโตโยดะจึงอาจสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทรถยนต์ทั้งเล็กและใหญ่กำลังเผชิญศึก 2 ด้าน ทั้งสภาวะถดถอยของตลาดรถยนต์ทั่วโลกและการต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แล้วทำไมเราจะต้องรีบเปลี่ยนผ่านไปสู่รถอีวี?
สำรวจแนวทางการพัฒนารถพลังไฟฟ้าของ Toyota
เป็นที่ทราบกันว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา Toyota ให้ความสำคัญสูงสุดกับรถไฮบริดและเป็นผู้นำตลาดโลกมานานหลายปี แต่ในปัจจุบันพวกเขาถือว่าเดินตามหลังคู่แข่งในด้านเทคโนโลยีรถพลังงานไฟฟ้าและแบตเตอรี่
ขณะเดียวกันค่ายรถยักษ์ญี่ปุ่นตกเป็นข่าวว่ากำลังพัฒนาแบตเตอรี่แบบแข็งหรือโซลิดสเตทแบตเตอรี่อย่างเต็มที่ ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของรถพลังงานไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ เพราะรองรับการชาร์จไฟที่รวดเร็วยิ่งขึ้นและมีระยะทางขับขี่ที่ไกลกว่า โดยมีกำหนดเปิดตัวรุ่นต้นแบบแรกภายในปี 2021 และมีแผนทำตลาดรถอีวีถึง 10 รุ่นภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูที่งบประมาณการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าของ Toyota พบว่าอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับค่ายรถรายอื่นอย่าง Mercedes-Benz และ Volkswagen Group ที่กำหนดงบประมาณไว้ใกล้เคียงกันที่ 8.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ที่น่าสนใจก็คือความเห็นด้านลบต่อรถอีวีเหมือนเป็น “ดาบสอง” หลังจากเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โตโยดะได้ออกมาวิจารณ์ Tesla ว่ายังไม่ได้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้ พร้อมกับเปรียบเปรยว่าค่ายรถไฟฟ้าพลังสัญชาติอเมริกันเป็นผู้พัฒนาสูตรอาหาร แต่ Toyota เป็นเจ้าของห้องครัวที่มี “อำนาจ” มากกว่าในการกำหนดทิศทางยานยนต์โลก
ต่อคำถามที่ว่าโตโยดะกำลังทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยวหรือความคิดเห็นของเขามีน้ำหนักน่ารับฟัง ตลาดรถพลังงานไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีคู่แข่งก้าวรุดหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เราคงรออีกไม่นานก็จะได้เห็นคำตอบว่าประธานกรรมการ Toyota คิดถูกหรือผิด และทิศทางของยักษ์ตนนี้จะเป็นอย่างไรในอนาคต