ถ้าหากท่านเจ้าของรถยนต์ Mazda (มาสด้า) BMW (บีเอ็มดับเบิ้ลยู) หรือ Mercedes-Benz (เมอซิเดส-เบนซ์) เปิดอ่านคู่มือรถดู ก็อาจจะสังเกตเห็นว่าในตารางการตรวจเช็คตามระยะทางนั้น ไม่มีการระบุเอาไว้เกี่ยวกับระยะของการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ถ้าหากมีระบุไว้ ก็เป็นเพียงแค่ “ตรวจสอบเมื่อถึงระยะ 160,000 กิโลเมตร” เทรนด์นี้มีชื่อเรียกกันว่า Lifetime Transmission Fluid หรือน้ำมันเกียร์ตลอดอายุขัย
ประเด็นดังกล่าวนี้สร้างความสงสัยให้กับผู้คนจำนวนมากซึ่งคุ้นเคยกับระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 20,000 หรือ 40,000 กิโลเมตร น้ำมันเกียร์สมัยนี้มันเป็นน้ำยาวิเศษที่สามารถอยู่ไปได้ตลอดชั่วกัลปาวสานหรืออย่างไร? ไม่ต้องเปลี่ยนแบบนี้ เกียร์พังมา ใครจะรับผิดชอบ?
วันนี้ บอริส จะมาแถลงไขให้ฟังกันว่า เหตุใดบริษัทรถยนต์ถึงระบุว่าน้ำมันเกียร์ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อรถยนต์ของท่าน อีกทั้งยังจะตอบคำถามที่สำคัญที่สุดว่า แล้วจริง ๆ ถ้าอยากเปลี่ยน จะเปลี่ยนได้หรือไม่?
น้ำมันเกียร์มีหน้าที่อะไรในระบบเกียร์อัตโนมัติ?
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจถึงหลักการทำงานของเกียร์อัตโนมัติแบบทั่วไปก่อน
การอธิบายให้ง่ายที่สุดนั้น แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน 1. เกียร์อัตโนมัตินั้นทำงานด้วยการใช้แผ่นคลัชจำนวนหลายแผ่น ตัดและส่งกำลังเฟืองเกียร์ต่าง ๆ ซึ่ง 2. มีการควบคุมนั้นใช้สมองกลที่หน้าตาเหมือนเขาวงกตอยู่ใต้แผ่นเกียร์ และ 3. เพื่อให้รถสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างนุ่มนวล จึงต้องมี Torque Converter อันเป็นระบบคลัชน้ำมันมาช่วยในการออกตัว
ความสำคัญคือทั้ง 3 ส่วนนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีน้ำมันเกียร์เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงาน
นอกเหนือจากการหล่อลื่นเฟืองเกียร์แล้ว น้ำมันเกียร์อัตโนมัติยังต้องช่วยให้แผ่นคลัชในเกียร์อัตโนมัติสามารถจับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องใช้เป็นน้ำมันไฮดรอลิคควบคุมสมองกลของเกียร์ และสุดท้าย ยังต้องเป็นน้ำมันที่ใช้ควบคุมความเร็วใบพัดใน Torque Converter อีกด้วย
ฟังก์ชั่นหลากหลายขนาดนี้ ท่านน่าจะทราบแล้วนะครับว่าทำไมน้ำมันเกียร์อัตโนมัติถึงมีความสำคัญมาก
สำคัญขนาดนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ก็ไม่แย่เอาหรอกเหรอ?
ถูกต้องครับ ในทุกฟังก์ชั่นของเกียร์อัตโนมัตินี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งจะทำให้น้ำมันเกียร์ ซึ่งก็เป็นผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลี่ยม เสื่อมสภาพได้ และนั่นทำให้การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำนะครับ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนอยู่ได้นานตราบชั่วนิรันดร์
คำถามถัดมาที่จะเกิดขึ้นคือ แล้วเมื่อไหร่เราจะควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติในรถยนต์ของท่านกัน?
แล้วเมื่อไหร่เราจะควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ?
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องนั้น เราขอพูดถึงเรื่องที่ใกล้เคียงกันเพื่อเปรียบให้เห็นภาพก่อน
เราคงจะคุ้นเคยกับระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกันเป็นอย่างดี โดยปกติแล้ว ก็จะอยู่ที่ไม่เกิน 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร หรืออย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
ในความเป็นจริงแล้ว ระยะการเปลี่ยนถ่านน้ำมันเครื่องที่ว่านี้ เป็นระยะที่ถูกคิดค้นขึ้นมาในสมัยที่น้ำมันเครื่องนั้นมีคุณภาพ และประสิทธิภาพในการปกป้อง ไม่ดีเท่าในปัจจุบันนี้ และเราเองก็เห็นระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องของรถยนต์บางค่ายถูกขยับขยายไปเป็น 24 เดือน 32,000 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว! ซึ่งฟังดูบ้าบอมากสำหรับคนที่ยังคงเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 6 เดือน 5,000 กิโลเมตรอย่างข้าพเจ้า
นี่เรายังอ่านบทความเกี่ยวกับน้ำมันเกียร์อยู่หรือเปล่า?
คำตอบก็คือ ใช่ครับ แต่อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า น้ำมันเกียร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมเช่นกัน และถ้าคุณเอาไปใส่ในอ่างน้ำมันเครื่อง มันก็หล่อลื่นได้แม้ว่าจะประสิทธิภาพไม่ดีเท่า
น้ำมันเครื่องนั้น เป็นสิ่งที่อยู่ในระบบเปิด เนื่องจากห้องเผาไหม้นั้นรับเอาอากาศจากภายนอกซึ่งมีฝุ่นละอองอยู่จำนวนมาก ในขณะที่น้ำมันเกียร์นั้นอยู่ในระบบปิด ถ้าการทำงานทุกอย่างถูกต้อง จะไม่มีอะไรเข้าไปได้นอกจากจะเอารถไปจุ่มน้ำเท่านั้น และนั่นทำให้ระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ยาวกว่าน้ำมันเครื่องเป็นอย่างมาก เช่นน้ำมันเครื่อง 5,000 กิโลเมตร น้ำมันเกียร์ก็จะเป็น 20,000 กิโลเมตร
ในการทดสอบของบริษัทน้ำมันเครื่องต่าง ๆ พบว่า ในห้องทดลอง น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ตัวแพงทั้งหลาย สามารถใช้งานได้ถึง 30,000 กิโลเมตรขึ้นไปโดยที่ไม่มีปัญหา แม้แต่น้ำมันเครื่องตัวธรรมดาในปัจจุบันก็สามารถลากใช้งานได้ยาว 20,000 กิโลเมตรได้
ในขณะเดียวกัน น้ำมันเกียร์อัตโนมัตินั้น ก็ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นคล้ายกัน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทผลิตน้ำมันจะบอกว่า ระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์นั้น เกิน 100,000 กิโลเมตรขึ้นไป โดยไม่มีปัญหาอะไร
และนี่เอง คือสาเหตุที่บริษัทรถซึ่งคาดหวังให้ท่านเปลี่ยนรถทุก ๆ 100,000 กิโลเมตร หรือหมดระยะรับประกัน จึงบอกว่าน้ำมันเกียร์นั้นสามารถอยู่ได้ถึงชั่วอายุขัยของรถยนต์เอง
เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในประเทศผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ เขาเปลี่ยนรถกันบ่อยกว่าเรามาก และเราเป็นคนส่วนน้อยครับ
ถ้าอย่างนี้ รถซิ่ง 90 ที่ทำนู่นทำนี่ได้ ก็ดีกว่าสิ? จะซื้อรถใหม่ทำไมถ้ามันจะพังทุก 100,000 กิโลเมตร
เราต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า การทดลองในห้องแล็บ จนได้ตัวเลข 100,000 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นในรูปแบบเดียว และค่าที่ได้ออกมาจากการทดลอง ไม่ใช่ตัวเลขกิโลเมตรนะครับ แต่เป็น Operating Hours
Operating Hours คือระยะเวลาทำงานของระบบใดระบบหนึ่ง และนับเวลาเป็นชั่วโมง สมมติการติดเครื่องยนต์ 1 ชั่วโมง ก็จะนับเป็น 1 Operating Hours
เหตุใดเรื่องนี้จึงสำคัญ? บอริสจะอธิบายให้ฟัง
ลองจินตนาการถึงการเป็นเจ้าของรถคันหนึ่งดูนะครับ ถ้าท่านบ้านอยู่อุบลราชธานี และทำงานในศรีสะเกษ มีระยะทางไปกลับ 120 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2 ชั่วโมงพอดี ซึ่งจะได้ความเร็วเฉลี่ย 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในขณะที่เมื่อท่านย้ายบ้านมาอยู่ที่ท่าพระ และทำงานที่สีลม ใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2 ชั่วโมงเช่นกัน แต่ระยะทางไปกลับนั้นอยู่ที่เพียง 20 กิโลเมตร ก็จะได้ความเร็วเฉลี่ย 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ท่านที่เดินทางไปทำงานทุกวันในกรณีแรก โดย 1 เดือนมีวันทำงาน 20 วัน จะใช้รถ 2,400 กิโลเมตร ต่อเดือน ในขณะที่กรณีที่สอง ท่านจะใช้รถ 400 กิโลเมตรต่อเดือนเท่านั้น
แต่สังเกตอะไรไหมครับ? เครื่องยนต์ของรถทั้งสองกรณีนี้ มีระยะเวลาในการทำงานเท่ากัน คือ 2 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งก็คือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ถ้าหากการใช้รถในกรณีแรก จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก ๆ 6 เดือน หรือ 14,400 กิโลเมตร ซึ่งฟังดูยาวนานพอสมควรเลยทีเดียว ผลก็จะไม่ต่างกับการที่กรณีที่สอง เราเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก ๆ 6 เดือน ซึ่งจะเป็นระยะทางเพียง 2,400 กิโลเมตรเท่านั้น
ถ้าหากท่านในกรณีที่สองเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตร ก็จะทำได้ครับ แต่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ในการเปลี่ยนถ่ายครั้งหนึ่ง ซึ่งถามว่าทำได้ไหม ก็ทำได้ครับ น้ำมันเครื่องในปัจจุบันมีคุณภาพดีกว่าในอดีตอย่างที่ได้บอกไปแล้ว
ในเรื่องของน้ำมันเกียร์ ก็ไม่ต่างกัน อีกทั้งยังจะมีผลมากกว่าน้ำมันเครื่องเสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากน้ำมันเกียร์มีฟังก์ชั่นของการช่วยเรื่องการจับคลัช การวัด Operating Hours จึงต้องแปรผันตรงเข้าไปอีก เพราะทุกครั้งที่คุณออกตัว จะเกิดการสึกหรอและความร้อนในระบบมากกว่าการที่รถวิ่งไปนิ่ง ๆ ทางไกล
ถ้าหากเป็นกรณีเดียวกันกับที่ให้ตัวอย่างไปแล้ว ท่านที่วิ่งแต่ทางไกล ๆ จะลากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ไปเป็นแสนกิโลเมตร ก็ไม่มีผลอะไรหรอกครับ บริษัทรถก็ทราบเช่นนี้ดี
แต่ถ้าหากเป็นท่านที่บ้านอยู่ในเมือง รถติดตลอดละ? ถ้าหากท่านลากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ แน่นอนครับ น้ำมันเกียร์ก็จะเสื่อมสภาพ จนเกิดปัญหาในที่สุด
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้รถยนต์ซึ่งมีระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ และของเหลวอื่น ๆ มักจะมี กรณีการใช้รถยนต์ “ที่หนักหน่วง” หรือ Severe Driving Condition ตัวอย่างมีทั้งการขับขี่ในสนามแข่ง และการใช้รถเฉพาะในเมือง ซึ่งมีระยะการเปลี่ยนถ่ายและบำรุงรักษาตามกิโลเมตรที่สั้นกว่ามาก
มีสรุปสั้น ๆ แบบยาวไปไม่อ่านไหม?
จากทุกประเด็นที่เรากล่าวไปแล้วนั้น เราสามารถสรุปประเด็นย่อย ๆ ได้ดังนี้
น้ำมันเกียร์ที่มีการบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายตามอายุของรถนั้น เกิดจากการคาดคะเนของบริษัทรถยนต์ซึ่งมองว่า ลูกค้าจำนวนมากบนโลกจะไม่ใช้รถยนต์ยาวนานกว่า 10 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตรมากนักหรอก และถ้าใช้ถึงจริง ก็คงไม่เข้ารับการบริการที่ศูนย์อีกต่อไป มีข้อยกเว้นของบางยี่ห้อซึ่งการรับประกันยาวนานถึงเช่นนั้น แต่ก็เป็นกรณีที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งบริษัทรถยนต์ก็ไม่ได้บ้าดีเดือดอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ตัวเลขระยะที่เขาคำนวณมานี้ มาจากความมั่นใจของผู้ผลิตของเหลว ซึ่งผ่านการทดสอบจากทั้งทางบริษัทรถยนต์และบริษัทน้ำมันเอง
แต่กระนั้น เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อในระยะการเปลี่ยนถ่ายนี้อยู่ดี เพราะการใช้งานรถยนต์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่เหมือนกับที่เกิดการทดลองจากบริษัทอย่างแน่นอน แม้แต่ทางผู้ผลิตเกียร์อย่าง ZF เอง ก็ไม่ค่อยมั่นใจถึงระยะการเปลี่ยนถ่ายตลอดชีพนี้นัก เพราะมันหมายถึงแค่ 100,000 กิโลเมตรเท่านั้น
ถ้าหากท่านอยากจะใช้รถยาวนานกว่าระยะที่ผู้ผลิตเขาคาดหวังมา ก็หาทางเปลี่ยนเถอะครับ
อย่างกรณีของรถยนต์ Mazda เอง ซึ่งมีการระบุว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ และศูนย์บริการมักจะไม่รับทำ ก็มีอู่นอกมากมายพร้อมที่จะทำให้ อีกทั้งยังมีผู้แทนจำหน่ายน้ำมันเกียร์ที่ใช้ในรถ Mazda Skyactiv เหล่านี้ได้อยู่มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นใดก็ตาม รูถ่ายน้ำมันเกียร์นั้นก็อยู่บนเสื้อเกียร์ และอ่างเกียร์ นั่นแหละครับ
แต่ถ้าท่านไม่สนใจ ไม่ได้คิดจะใช้รถนานขนาดนั้น ก็บอกไว้ตรงนี้เลยว่า มีตัวอย่างของรถที่ไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์เป็นระยะทางกว่า 200,000 กิโลเมตร โดยที่เกียร์ยังไม่พัง อยู่พอสมควรในประเทศไทยครับ มากกว่ารถที่พังทั้ง ๆ ที่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก ๆ 20,000 กิโลเมตรด้วยซ้ำ
อย่างที่ย้ำแล้วย้ำอีก น้ำมันเกียร์ในปัจจุบัน มันดีกว่าที่ท่านอาจคิดไว้มาก