หลังจากการเปิดตัวมาสักพัก สำหรับ 2023 Nissan Terra Sport (2023 นิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต) รุ่นท็อปที่เพิ่มชุดแต่งสีดำเสริมความสปอร์ตพรีเมียม ครั้งนี้เราได้รับโอกาสจากทางนิสสัน ประเทศไทย ให้มาลองขับรถคันนี้กันถึง จ.เพชรบูรณ์ เพื่อสัมผัสถึงสมรรถนะของรถคันนี้ทั้งออนโรดและออฟโรดกันอย่างเต็มที่
การเดินทางครั้งนี้ขาไปเริ่มต้นที่กรุงเทพมหานคร รับประทานอาหารกลางวันแถว จ. ลพบุรี ขับต่อไปยังจุดแวะพักที่ อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ และจบที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ซึ่งมีทั้งทางเรียบที่ตรงยาวและคดเคี้ยว ไปจนถึงทางออฟโรดที่ท้าทาย
รูปลักษณ์เสริมชุดแต่งดำทั้งคัน
สัมผัสแรกของ 2023 Nissan Terra Sport คือภายนอกที่เสริมความสปอร์ตพรีเมียมจากรุ่นท็อป VL ด้วยชุดแต่งโทนสีดำรอบคัน ทั้งภายในและภายนอก
ภายนอกส่วนที่เคยเป็นโครเมียมในรุ่น VL จะกลายเป็นสีดำทั้งหมด ตั้งแต่กระจังหน้า มือจับประตู ฝาท้าย ไปจนถึงสปอยเลอร์หลัง แต่น่าเสียดายที่ล้ออัลลอย 18 นิ้วยังเป็นสีโครเมียมทูโทนเหมือนเดิม
เมื่อเข้ามานั่งด้านในแล้วตัวเบาะโอบกระชับได้ดี เบาะผู้ขับขี่สามารถปรับไฟฟ้าได้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามก้านแบบ D-Shape หน้าจอกลางขนาด 9 นิ้วรองรับ Apple CarPlay ไร้สายและ Android Auto แท่นชาร์จไร้สาย รวมถึงช่องชาร์จ USB-A และ USB-C
นอกจากนี้ยังมีหน้าจอขนาด 11 นิ้วให้ความบันเทิงที่ด้านหลัง รองรับสตรีมมิ่งต่าง ๆ เช่น NetFlix และ Youtube พร้อมเครื่องเสียง BOSE รอบคันลำโพง 8 ตำแหน่ง
สัมผัสการขับขี่
สัมผัสแรกของการขับขี่ Nissan Terra Sport คือพวงมาลัยมีน้ำหนักเบาที่ความเร็วต่ำและหนักขึ้นที่ความเร็วสูง ทัศนวิสัยชัดเจนทั้งหน้า หลัง และด้านข้าง เสริมด้วยเทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ Intelligent Rear View Mirror ที่จะช่วยฉายภาพด้านหลังเมื่อมีการบรรทุกผู้โดยสารหรือสัมภาระเต็มคัน
เครื่องยนต์ YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ ใหกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด วิศวกรของนิสสันให้ข้อมูลว่าเทอร์โบทั้งสองตัวจะผสานการทำงานร่วมกัน
โดยเทอร์โบตัวแรกที่มีขนาดเล็กจะเริ่มทำงานก่อน ตามมาด้วยเทอร์โบอีกตัวที่ใหญ่กว่า และจะทำงานพร้อมกันเมื่อรอบสูง เมื่อผสานการทำงานกับเกียร์แล้วทำให้การเร่งความเร็วมีความลื่นไหล ไม่กระชาก แต่ยังตอบสนองต่อการกดคันเร่งได้ดี
เก็บเสียงได้ดี เข้าโค้งได้ดีเกินคาด
ในการขับขี่ที่ความเร็วสูงตัวรถสามารถเก็บเสียงได้ดี เนื่องจากการติดตั้ง Acoustic Glass ที่กระจกตอนหน้าและประตูคู่หน้าของรถและฉนวนกันเสียงรอบคัน เมื่อลองนั่งที่เบาะแถวหลังก็มีเสียงลมบ้าง แต่ไม่ได้มากจนรำคาญแต่อย่างใด
ช่วงล่างของรถด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ (5-Link) พร้อมคอยล์สปริง ให้ความนุ่มนวลเมื่อขับผ่านพื้นถนนที่ไม่เรียบได้ดีแม้ขับด้วยความเร็วสูง ช่วงล่างตัวนี้ยังให้การยึดเกาะที่ดีเวลาเข้าโค้ง โดยเฉพาะเส้นทางทดสอบช่วงที่ขึ้นไปยังทุ่งแสลงหลวงจะเห็นประสิทธิภาพของช่วงล่างนี้ได้ชัดเจน
นั่งโดยสารด้านหลังสะดวกสบาย
ภายในทริปนี้มีการสลับการขับกันบ้าง จึงได้มีโอกาสนั่งโดยสารทั้งด้านข้างคนขับและด้านหลัง สำหรับเบาะด้านข้างคนขับนั้นต้องปรับด้วยมือและไม่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ตัวเบาะรองนั่งค่อนข้างเทไปด้านหน้า ซึ่งให้ความสบายแต่อาจจะรองรับต้นขาไม่ได้เท่าที่ควรแม้จะมีความยาวที่เหมาะสมแล้ว
ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 2 นั้นมีความสะดวกสบาย เพราะสามารถปรับเอนและเลื่อนหน้า-หลังได้ เรายังสามารถปรับพับเบาะแถวนี้ด้วยฟังก์ชั่น Auto Tumble Seat จากคอนโซลกลางด้านหน้าได้อีกด้วย ตัวเบาะแถวนี้ยังรองรับน้ำหนักของเราได้ดีแต่ไม่ได้โอบกระชับนัก หากเจอโค้งหนัก ๆ แม้จะคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็มีไถลได้เหมือนกัน
ความสะดวกสบายที่เบาะแถว 2 นั้นมาพร้อมช่อง USB-A และ USB-C อย่างละช่อง ที่วางแก้วบนพนักวางแขนตรงกลาง แต่สิ่งที่ให้มามากกว่าคู่แข่งคือ ช่องแอร์ที่มีทั้งคอนโซลกลางและบนเพดาน โดยระบบปรับอากาศด้านหลังสามารถปรับได้จากสวิตช์บนเพดาน
ส่วนเบาะแถวที่ 3 ยังไม่มีโอกาสได้นั่งอย่างจริงจัง แต่สามารถพับได้เรียบเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระ และมีอุปกรณ์ความสะดวกสบายครบครัน ได้แก่ ที่วางแก้วและของจุกจิก ช่องเสียบ HDMI ที่เชื่อมกับหน้าจอหลัง ช่อง power outlet และยังมีช่องแอร์ที่เบาะแถวนี้มาให้ด้วย
ขับสะดวกทั้งออนโรดและออฟโรด
ในทริปนี้เรายังได้รับอนุญาตจากทางอุทยานทุ่งแสลงหลวงให้เข้าไปยังจุดชมวิวศาลาดุสิตา ซึ่งเป็นเส้นทางออฟโรด เราจึงได้รับโอกาสในการใช้โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยฟังก์ชั่น shift-on-the-fly (เปลี่ยนได้ในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.) ซึ่งประกอบด้วยโหมด 2WD 4H และ 4LO
รถคันนี้ยังมีระบบดิฟล็อคหลังแบบอิเล็กทรอนิกส์ (B-LSD) ทำให้ผ่านเส้นทางนี้ไปได้ด้วยดี พร้อมระบบ HSA และ HDC ช่วยในการออกตัวและควบคุมความเร็วบนทางลาดชันมาให้ด้วย
นอกจากนี้ Terra Sport ยังมีระบบความปลอดภัยรอบคัน 360 Safety Shield ที่ประกอบด้วยเซนเซอร์และกล้องรอบคัน ช่วยให้การเดินทางในรถคันนี้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งในเมืองที่มีพื้นที่จำกัด ไปจนถึงทางออฟโรดที่ต้องเห็นสถานการณ์รอบคัน
“คันเดียวจบ ครบเกินคุ้ม” ดังคำโฆษณา
สรุปแล้ว 2023 Nissan Terra Sport เป็นรถที่คุ้มค่าดั่งคำโฆษณา “คันเดียวจบ ครบเกินคุ้ม” เพราะเมื่อเทียบกับ PPV รุ่นอื่น ๆ ในราคาเดียวกันแล้ว ไม่มีรุ่นไหนที่ให้อุปกรณ์ที่ครบครัน หรือแม้แต่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาให้เหมือนรถคันนี้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการซื้อรถหนึ่งคัน โดยเฉพาะ PPV ที่ต้องตอบโจทย์ทั้งประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม หลายคนยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อหน้าตาที่สปอร์ตดุดัน ไปจนถึงออพชั่นที่ดึงดูดใจมากกว่า หาก Nissan มีตัวเลือกที่ดึงดูดใจมากกว่าที่เป็น ก็อาจทำให้ผู้บริโภคหันมาที่ Terra ได้ไม่ยากเกินไปนัก
2023 Nissan Terra Sport มีราคาจำหน่ายที่ 1,555,000 บาท มาพร้อมสีภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเทา สเตลท์ เกรย์, สีขาว ไวท์ เพิร์ล (เพิ่ม 12,000 บาท) และสีดำ แบล็ค สตาร์ ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อตัวแทนจำหน่ายนิสสันได้ทั่วประเทศ
อ่านเพิ่มเติม: 3 สิ่งที่ทำให้ 2023 Nissan Terra Sport น่าสนใจกว่า PPV รุ่นอื่น คุ้มที่สุดในงบเดียวกัน