ตำนาน 50 ปี Toyota Hilux กับกระบะขวัญใจคนไทย
Toyota Hilux นั้น อยู่คู่กับคนไทยมากว่า 50 ปี แล้ว เรียกได้ว่าเป็นกระบะเชิงพาณิชย์ที่ขายดีที่สุดก็ว่าได้ ซึ่งคำว่า Hilux นั้นย่อมาจาก Highly-Luxurious หรือที่สุดแห่งความหรูหราหลังจากการเปิดตัว Toyota Hilux Vigo เมื่อปี 2004 ก็ทำให้ตลาดรถกระบะบ้านเราคึกคักขึ้นมาก ด้วยการพัฒนาในแต่ละรุ่น การปรับโฉม พัฒนานวัตกรรมให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญ ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือระดับ การขนสัมภาระขนาดใหญ่ได้ ก็ยิ่งทำให้ Toyota Hilux ขึ้นกระบะอันดับ 1 ขวัญใจชาวไทยได้ไม่ยาก
ซึ่งโตโยต้าไฮลักซ์ เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยมาตลอด กว่า 8 เจเนอเรชั่น ใน 50 ปี ที่ผ่านมา แต่ละโฉมจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง มาชมกันครับ
Generation 1 Toyota Hilux N10 (1968–1972)
เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 โตโยต้าเริ่มผลิตรถกระบะฐานสั้นภายใต้ชื่อว่า Toyota Hilux (เปิดตัวครั้งแรกในชื่อ Toyopet) ใช้รหัสตัวถังว่า RN10 เป็นกระบะ 2 ประตู เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 77 แรงม้า รหัส 2R I4 เกียร์ธรรมดา 4 สปีด ผลิตจากโรงงานในโตเกียว วิ่งได้เร็วสูงสุด 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนจะมีการเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรรหัส 12R ในปี 1971 และมีการเพิ่มตัวฐานยาวเข้ามาในปี 1969 ส่วนรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นตัวเครื่องยนต์รหัส 2R
Generation 2 Toyota Hilux N20, N25 (1972–1978)
เมื่อมาถึงปี 1972 ทางโตโยต้าได้ทำปรับโฉมไฮลักซ์ ฐานสั้นรหัส RN20 และฐานยาว RN25 มีการปรับปรุงให้มีความสะดวกสบายในห้องโดยสารมากขึ้น ส่วนเครื่องยนต์ได้ใช้รหัส 12R เบนซิน 1.6 ลิตร 83 แรงม้า ก่อนที่จะมีการเพิ่มเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 121 แรงม้า 18R และเพิ่มตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดเข้ามาเพิ่มในปี 1973 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 136 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนในประเทศไทยนั้น จะมีการจำหน่ายแค่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เกียร์ธรรมดา 4 สปีดเพียงอย่างเดียว
ผู้ซื้อในอเมริกัน ตั้งชื่อเล่นให้มันว่า Pickup เป็นต้นกำเนิดของคำว่าปิคอัพ ต่อมาคำนี้ก็กลายเป็นคำศัพท์ที่แปลว่ารถกระบะ
Generation 3 Toyota Hilux Super Star (1978–1983)
สิงหาคม 1978 Hilux ใหม่มาด้วยหน้าตาที่โค้งมนขึ้น ในรหัสตัวถัง RN30 และ RN40 เริ่มมีการทำแบบ 4 ประตู และขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้มีผลต่อแพลตฟอร์มกระบะอื่นๆเป็นอย่างมาก ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร รหัส 18R แต่ก็ถูกหยุดผลิตไปในปี 1983 และทำเฉพาะรุ่น 2 ล้อเท่านั้น และในโฉมนี้ ได้มีการเพิ่มเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามา
Generation 4 Toyota Hilux Hercules (1983–1988)
ปี 1983 โตโยต้าเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าด้วยห้องโดยสาร Xtracab คือห้องโดยสารด้านหลังที่เพิ่มเข้ามา มีการใช้เครื่องยนต์ 22R เบนซิน 2.4 ลิตร 97 แรงม้า ก่อนที่จะเพิ่มเครื่องยนต์หัวฉีด 22R-E 2.4 ลิตร 105 แรงม้าเข้ามาเพิ่มในปี 1984 และยังมีเครื่อง 2L 2.5 ลิตร 83 แรงม้า และ 2L-T 2.5 ลิตรเทอร์โบ 93 แรงม้าเข้ามาเป็นตัวเลือกให้อีกด้วย
Generation 5 Toyota Hilux Mighty-X (1988–1997)
ปี 1988 ได้มีการปรับปรุงตัวถังให้ยาวกว่าเดิม เพิ่ม Xtracab ได้ใหญ่กว่า ทำให้นั่งได้อีกแถวด้านหลัง สร้างยอดขายถล่มทลาย ด้วยหน้าตาที่ดุดันเหมาะกับวัยรุ่น ใช้เครื่องยนต์ 2 L II ดีเซล 2.5 ลิตรเป็นหลัก ก่อนที่ช่วงหลังจะเพิ่มเครื่องยนต์ 3L ดีเซล 2.8 ลิตร เข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม
Generation 6 Toyota Hilux Tiger (1997–2005)
โฉมนี้มีฐานการผลิตในประเทศไทย และส่งออกไปยังทั่วโลก โดยไม่เน้นในการปรับเปลี่ยนหน้าตามากนัก เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1998 เครื่องยนต์หลัก 5L ดีเซล 3.0 ลิตร ก่อนที่ช่วงหลังจะเริ่มนำระบบ Direct Injection-DOHC-16 Value-Turbo-Common rail ดีเซล 2.5 ลิตรเทอร์โบเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกๆที่ใช้ระบบหัวฉีดแบบราง
Generation 7 Toyota Hilux Vigo (2004–2015)
รุ่นนี้ ถือเป็นโฉมที่ขายดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะโฉมนี้ใช้ยาวนานถึง 11 ปี ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักเพื่อส่งออกไปทั่วโลก มีตัวเลือกให้มากมายทั้ง กระบะ 2 ประตู, 4 ประตู, Xtracab, ขับเคลื่อน 2 ล้อ ขับเคลื่อน 4 ล้อ และยกสูง ก็ และเป็นโฉมที่เริ่มใช้การเปิดประตูแบบ Smartcab หรือที่เรียกกันว่าประตูตู้กับข้าว ส่วนเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกใช้ก็มีทั้ง 1KD-FTV ดีเซล 3.0 ลิตร, 2KD-FTV ดีเซล 2.5 ลิตร ภายหลังยังมีเครื่องยนต์แบบ VVT-i รหัส 2TR-FE เบนซิน 2.7 ลิตร เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการนำไปติดแก๊ส ในช่วงสภาวะน้ำมันแพงได้อีกด้วย
Generation 8 Toyota Hilux Revo (2015 - ปัจจุบัน)
ในรุ่นนี้เปิดตัวไปเมื่อปี 2015 ซึ่งมีการออกแบบให้ทันสมัยด้วยกระจังหน้าใหม่ การออกแบบที่ใช้งานได้ทุกสภาพถนน สมรรถนะที่ดีเยี่ยม และออพชั่นต่างๆที่มีมาให้มากมาย รวมถึงระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น ซึ่งโดยรวมต้องทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนเนื่องจากคนไทยยังติดภาพของวีโก้อยู่ เพราะฉะนั้นโตโยต้าต้องทำรีโว่ให้ขึ้นมาแทนใจคนไทยให้ได้ เครื่องยนต์ในประเทศไทยมีให้เลือกทั้ง 1GD-FTV (High) ดีเซล 2.8 ลิตร, 2GD-FTV ดีเซล 2.4 ลิตร และ 2TR-FE เบนซิน 2.7 ลิตร
นี่เป็นเพียงรายละเอียดคร่าวๆของการเปลี่ยนแปลงโฉมในกระบะยอดนิยม Toyota Hilux กับ 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆแล้วยังมีการปรับเปลี่ยนภายใน และออพชั่นต่างๆที่เพิ่มเข้ามามากมาย ช่วงเวลาของในต่างประเทศอาจจะห่างจากไทยบ้าง แต่ในปัจจุบัน มีการใช้ประเทศไทยในการเป็นฐานผลิตหลัก โดยคุณสามารถเป็นเจ้าของ Toyota Hilux Revo ใหม่ ได้ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศไทยแล้ววันนี้