นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จแบบ DC ด้วยความเร็วสูงสุด 120 kW โดยชาร์จจากแบตเตอรี่ที่ 30-80% ได้ภายในเวลาเพียง 36 นาที และรองรับการชาร์จแบบธรรมดา AC สูงสุดที่ 11 kWh สามารถชาร์จจาก 5-100% ได้ในเวลา 8 ชั่วโมงครึ่ง
สำหรับดีไซน์ภายนอกของทั้งสองรุ่นย่อยนั้นไม่แตกต่างกัน โดยมาพร้อมกระจังหน้าแบบ Grille Less Design ประตูข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็นแบบสไลด์ด้วยไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า
ล้อและยางของทั้งสองรุ่นนั้นมีขนาดเดียวกันที่ 235/55 R19 แต่ในรุ่น X จะเป็นยางแบบธรรมดา ส่วนรุ่นท็อป V จะมาพร้อมยางรันแฟลต
นอกจากนี้ อุปกรณ์ภายนอกยังมีอย่างครบครันตั้งแต่รุ่น X ได้แก่ ไฟหน้าแบบ LED พร้อมเดย์ไลท์ ไฟท้าย LED พร้อมไฟเลี้ยวแบบ sequential ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ หลังคาซันรูฟด้านหน้าและพานอรามิคด้านหลัง
สำหรับระบบความบันเทิงมาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto มีกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่งในรุ่น X และลำโพง 12 ตำแหน่งในรุ่น V
ช่อง USB ภายในรถก็มีให้อย่างครบครันที่ 7 ตำแหน่งในรุ่น X และ 9 ตำแหน่งในรุ่น V ช่วยอำนวยความสะดวกในการชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ
แต่ส่วนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ เบาะนั่ง โดยเบาะนั่งแถวหน้าในรุ่น X จะสามารถปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ส่วนรุ่น V จะเหมือนกัน แต่จะเสริมระบบบันทึก ระบบนวด และระบบปรับอุณหภูมิเข้ามาด้วย
เบาะแถวที่สองก็เช่นกัน ในรุ่น X มาพร้อมเบาะแถวสองแบบ Captain Seat ที่สามารถปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทางพร้อมระบบนวด และระบบอุ่นเบาะและระบายความร้อน ส่วนรุ่น V จะเป็นเบาะแบบ VIP ปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง
เบาะ VIP นั้นมาพร้อมระบบนวด 8 โปรแกรม และระบบปรับอุณหภูมิ โต๊ะพับได้พร้อมช่องเสียบ USB รวมถึงหน้าจอสัมผัสที่พนักแขน Individual Touchscreen Control สำหรับการปรับเบาะนั่งได้ตามต้องการ
กระจกมองหลังของทั้งสองรุ่นย่อยก็มีความแตกต่างกัน โดยมาพร้อมกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติตั้งแต่รุ่น X แล้ว แต่ในรุ่น V จะมีระบบ Streaming Media Rearview Mirror เสริมเข้ามา ซึ่งเป็นการฉายภาพจากกล้องมองหลังในกรณีที่ไม่สามารถมองผ่านกระจกหลังได้