เราทราบกันดีว่า Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์) ถือเป็นกระบะที่เหนือกว่ากระบะในท้องตลาดไปอีกขั้น เพราะมาพร้อมกับสมรรถนะและความสามารถของตัวรถที่รองรับการขับขี่แบบออฟโรดได้ตั้งแต่ออกจากโรงงาน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเรา AutoFun Thailand ได้รับเชิญจากฟอร์ดในการเข้าร่วมงาน Ford Ranger Raptor Unbeatable Experience เพื่อทดสอบสมรรถนะของ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ ได้อย่างเต็มรูปแบบ ณ Ford Ranger Off-road Track อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
เราได้ทราบถึงคุณสมบัติ ของ Ranger Raptor ผ่านสเปคชีทกันมาบ้างแล้ว เรามาลองดูกันว่า ระบบและคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีในรถคันนี้ ทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 V6 และดีเซล 2.0 เทอร์โบ นั้นมีแตกต่างกันอย่างไร ใช้ลุยได้เหมือนกันไหมนะ
- โชว์ความสามารถการขึ้น-ลงเนินชัน
- สะพานแคบที่อาศัยความแม่นยำของกล้อง 360 องศา
- แสดงความสามารถของดิฟล็อคไฟฟ้าด้วยการไต่เนินหิน
- กระโดดเนินในโหมดบาฮา
- ขับขี่บนทราย-กรวด ด้วยโหมดทราย
- ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ออฟโรด
โชว์ความสามารถการขึ้น-ลงเนินชัน
ในฐานแรก Ford ต้องการแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของการขับขี่บนทางลาดชันของรถ โดยการให้ Ranger Raptor ที่อยู่ในโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4L ขับขึ้น-ลงเนินชันประมาณ 20-30 องศา ทั้งหมด 2 เนิน
โดยในเนินแรกจะเป็นการให้เราควบคุมเองทั้งหมด พร้อมกับการใช้กล้อง 360 องศาเพื่อช่วยในการมองในจุดที่เรามองไม่เห็น
ต่อมาในเนินที่สองจะขับขี่ด้วยระบบควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด (Trail Control) ซึ่งช่วยให้การควบคุมความเร็วขณะขึ้น-ลงเนินทำได้ลื่นไหลยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถควบคุมความเร็วได้ผ่านปุ่มบนพวงมาลัยได้เลย ไม่ต้องใช้เท่ากดคันเร่งแต่อย่างใด
แต่หากเราไม่แน่ใจก็สามารถกดเบรกก่อนได้โดยระบบยังไม่หลุด เมื่อปล่อยเบรกระบบจึงกลับมาทำงานตามปกติ และหยุดการทำงานของระบบนี้ด้วยปุ่มบนพวงมาลัยหรือหน้าจอสัมผัสตรงกลางได้เลย
สะพานแคบที่อาศัยความแม่นยำของกล้อง 360 องศา
ต่อมาจะเป็นฐานของการขับผ่านสะพานแคบที่เราต้องใช้กล้อง 360 องศาเพื่อดูแนวล้อเพื่อช่วยกะระยะและสร้างความมั่นใจในการขับผ่านพื้นที่นี้
แสดงความสามารถของดิฟล็อคไฟฟ้าด้วยการไต่เนินหิน
ฐานต่อมาเป็นการไต่เนินหินด้วยการใช้โหมดหินในการขับขี่ โดยทำงานร่วมกับดิฟล็อคไฟฟ้าเพื่อควบคุมการทรงตัวของรถ
ในฐานนี้ Ranger Raptor ทั้งรุ่น 3.0 และ 2.0 นั้นจะแยกกัน โดยรุ่น 3.0 จะไต่เนินหินพร้อมกับขึ้นเนินไปด้วยเนื่องจากมีดิฟล็อคไฟฟ้าทั้งด้านหน้าและหลัง ส่วนรุ่น 2.0 ที่มีดิฟล็อคด้านหลังจะไต่เนินหินในทางราบ ซึ่งมีความท้าทายที่สูสีกันเลยทีเดียว
กระโดดเนินในโหมดบาฮา
หลังจากพิสูจน์ในทางชันกันแล้ว เราจึงได้ลองโหมดบาฮาพร้อมโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4H เพื่อพิสูจน์ช่วงล่างของรถคันนี้ที่ความเร็วสูงในสภาพถนนแบบออฟโรด โดยเริ่มจากการขับผ่านเนินกระโดดติดต่อกัน ต่อกันด้วยเส้นทางคดเคี้ยวแบบสลาลอม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการดูดซับแรงกระแทกที่ความเร็วสูง และการช่วยทรงตัวจากช่วงล่างที่ใช้โช้คอัพ FOX
ขับขี่บนทราย-กรวด ด้วยโหมดทราย
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ฐานที่ต้องใช้โหมดทราย ขับขี่ไปตามแอ่งทรายที่มีความร่วนสูง ซึ่งฟอร์ดระบุว่า ในโหมดนี้จะช่วยปรับอัตราการส่งกำลัง อัตราทดเกียร์ และการทรงตัวของรถ เพื่อการขับขี่ที่ดีขึ้น
สุดท้าย ก่อนจะเสร็จสิ้นฐานกิจกรรมทั้งหมดนั้น จะเปลี่ยนมาใช้โหมดบาฮาอีกครั้งในทางตรงด้วยความเร็วสูง เพื่อปิดท้ายความดุดันไม่เกรงใจใครอย่างเต็มรูปแบบ
ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ออฟโรด
การสัมผัสประสบการณ์ Ford Ranger Raptor ครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีทักษะการขับขี่ออฟโรดมาก่อน เพราะมีเจ้าหน้าที่ของฟอร์ดคอยให้คำแนะนำอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา บุคคลทั่วไปสามารถใช้ศักยภาพที่มีทั้งหมดของรถคันนี้ได้ในพื้นที่ที่ไม่เดือดร้อนใคร
Ranger Raptor ทั้งสองรุ่น มีความสามารถในการลุยที่เพียงพอทั้งคู่ ต่างกันตรงที่รุ่น 3.0 ให้ความลื่นไหลและสิ่งอำนวยความสะดวกในการลุยมากกว่า ส่วนรุ่น 2.0 แม้จะมีอุปกรณ์น้อยกว่า แต่ก็แลกมาด้วยเครื่องยนต์ที่มีความประหยัดและราคาที่ถูกกว่าหลายแสนบาทเลยทีเดียว
สำหรับผม กิจกรรม Ford Ranger Raptor Unbeatable Experience ครั้งนี้ พกไปแต่ตัวกับใจ ก็สัมผัสความดุดันไม่เกรงใจใครได้อย่างเต็มที่แล้ว
อ่านเพิ่มเติม: รู้หรือไม่ Ford Ranger Raptor รุ่นล่าสุด มีแรงบันดาลใจมาจากการพัฒนา Mustang?